ข้ามไปเนื้อหา

อัฏฏิฆนะรี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อัฏฏิฆนะรี
เกิดอะบู อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด อิบน์ มาลิก อัลมุรรี อัฏฏิฆนะรี อัลฆ็อรนาฏี
ฏิฆนัร กรานาดา อัลอันดะลุส
เสียชีวิตกรานาดา
สุสานกรานาดา
มีชื่อเสียงจากพฤกษศาสตร์, เกษตรศาสตร์, แพทยศาสตร์, กวีนิพนธ์
อาชีพทางวิทยาศาสตร์
มีอิทธิพลต่ออิบน์ บัศศอล
ได้รับอิทธิพลจากอิบน์ อัลเอาวาม, อิบน์ ลูยูน

อัฏฏิฆนะรี (อาหรับ: الطغنري; ชื่อเต็ม: อะบู อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด อิบน์ มาลิก อัลมุรรี อัฏฏิฆนะรี อัลฆ็อรนาฏี أبو عبد الله محمد بن مالك المُرِّي الطِّغْنَري الغرناطي;[1][2] มีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1075-1118)[3] เป็นนักปฐพีวิทยา นักพฤกษศาสตร์ กวี นักเดินทาง และแพทย์มุสลิมชาวอันดาลูซิอา อัฏฏิฆนะรีได้เขียนบทความเกี่ยวกับพืชไร่ที่เรียกว่า ซุฮ์เราะตุลบุสตาน วะนุซฮะตุลอัษฮาน (อาหรับ: زهرة البستان ونزهة الأذهان, แปลตรงตัว'ความรุ่งโรจน์ของสวนและนันทนาการแห่งจิตใจ') ในหนังสือ อัฏฏิฆนะรีอธิบายการเดินทางของเขาไปยังตะวันออกกลางและได้แบ่งปันข้อสังเกตเกี่ยวกับการเกษตรและหัวข้ออื่น ๆ

อัฏฏิฆนะรีเดินทางบ่อยและเขียนเกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในหนังสือของเขา เขาเยี่ยมไปหลายที่รวมทั้งเมืองต่าง ๆ ในอัลอันดะลุส; ซาเล, ประเทศโมร็อกโก; ก็อลอัตบะนีฮัมมาด, ประเทศแอลจีเรีย และอียิปต์ เขายังไปที่ฮิญาซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และดำเนินในพิธีฮัจญ์ ในงานเขียนของเขา เขาบรรยายสิ่งที่เขาเห็นในแต่ละแห่ง สำหรับตัวอย่าง เขาเขียนเกี่ยวกับระยะเวลาที่ต้นไม้เติบโตในอียิปต์และบ่อน้ำอับราฮัมในปาเลสไตน์ถูกขุดอย่างไร

ประวัติ[แก้]

อัฏฏิฆนะรี เกิดในตระกูลของบะนูมุรเราะฮ์[4] ในวัยเล็กๆ หมู่บ้านที่หายไปของฏิฆนัร[note 1]ตั้งอยู่ระหว่างที่มีอยู่อัลโบโลเตและมาราเซนา[5] ในจังหวัดกรานาดา อัลอันดะลุส (สเปนสมัยใหม่)[6] ไม่ทราบปีเกิดและเสียชีวิตของเขา[7] แต่เขามีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1075 ถึง ค.ศ. 1118[8]

อัฏฏิฆนะรีเป็นนักวรรณกรรมและกวีที่อาศัยอยู่ในสมัยราชวงศ์ซีริดภายใต้อับดุลลอฮ์ อิบน์ บุลุกกีน[9] เขาเป็นหนึ่งในหลายบุคลิกจากกรานาดาที่ย้ายไปที่ฏออิฟะฮ์แห่งอัลเมรีอา น่าจะเป็นเพราะความไม่เห็นด้วยกับผู้ปกครอง เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกวีนักวิทยาศาสตร์ในราชสำนักของบะนูศุมาดิห์[10] ในสวนของพระราชวังอัศศุมาดิฮียะฮ์ เขาทำการทดลองทางการเกษตรประเภทต่าง ๆ[9]

อัฏฏิฆนะรีได้ย้ายไปที่เซบิยาหลังจากที่ชาวอัลโมราวิดพิชิตกรานาดาและได้ศึกษาต่อที่นั่นในปี ค.ศ. 1100[6] ในเซบิยา เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนักปฐพีวิทยาและนักพฤกษศาสตร์ของอิบน์ บัศศอล[11]

อัฏฏิฆนะรีไปต่างเมืองในอัลอันดะลุส แอฟริกาเหนือและตะวันออก เนื่องจากเขาถูกกล่าวถึงว่าเป็นอัลฮัจญ์ อัลฆัรนะฏีในตำราพืชไร่ขงอิบน์ อัลเอาวาม เป็นไปได้ว่าเขาจะทำฮัจญ์ในบางจุด[6] ต่อมาหลังจากไปสถานที่ต่าง ๆ ในแอฟริกาเหนือและตะวันออก เขากลับมาที่อัลอันดะลุสและจะอาศัยอยู่ในกราดานาและเซบิเลอย่างสลับกัน[9]

เขาเขียนบทความเกี่ยวกับพืชไร่เรื่องชื่อว่า ซุฮ์เราะตุลบุสตาน วะนุซฮะตุลอัษฮาน (อาหรับ: زهرة البستان ونزهة الأذهان, แปลตรงตัว'ความรุ่งโรจน์ของสวนและนันทนาการแห่งจิตใจ')[12] เพื่อเจ้าชายตะมีมแห่งอัลโมราวิด พระโอรสของยูซุฟ อิบน์ ตาชฟีน เจ้าชายตะมีมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดของกรานาดาและผู้อุปถัมภ์ของอัฏฏิฆนะรีและนักปฐพีวิทยาและนักพฤกษศาสตร์อื่นๆ[13]

ในคำอธิบายของเอ็กซ์ปีราซีออน การ์ซีอา ซันเชซของอัฏฏิฆนะรี เธอวาดภาพเขาเป็นนักเขียนที่ดีด้วยแบบสั้นและเรียบง่าย แม้ว่าเธอจะมีเพียงเศษเสี้ยวของบทกวีและร้อยแก้วของเขา เธอเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ความสามารถในการเขียนของเขาได้ดี เธอยังแนะนำว่าเขาอาจจะเป็นหมอ ขึ้นอยู่กับความรู้โดยละเอียดของยาที่แสดงในตำราของเขา แต่เธอไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขาเคยฝึกทักษะนี้มาก่อน[6]

อิบน์ บัสซาม และอิบน์ อัลเคาะฏีบมีทั้งเขียนบทกวีเกี่ยวกับอัฏฏิฆนะรีในสมัยของเขา[8]

อัฏฏิฆนะรีเสียชีวิตที่กรานาดาและฝังอยู่ที่นั่น เขาสั่งว่าให้เขียนไว้บนหลุมฝังศพของเขาว่า:[8]

แด่เพื่อนของข้า, ถ้าเจ้ามาเยี่ยมหลุมศพของฉัน เจ้าจะพบดินบางส่วนจากหลุมศพของข้าระหว่างซี่โครงของข้า
เสียงนั้นกลัวที่จะพูด แต่คำพูดใด ๆ ก็ถือว่าดัง
ตาของข้าพเจ้าเห็นความอัศจรรย์ แต่เมื่อความตายพรากกายและวิญญาณออกจากกัน

อ้างอิง[แก้]

  1. Garcia-Sanchez, Expiracion (2012-04-24), "al-Ṭighnarī", Encyclopaedia of Islam, Second Edition (ภาษาอังกฤษ), Brill, สืบค้นเมื่อ 2022-07-11
  2. الثقافي, دار الكتاب. الإنسان والطبيعة (ภาษาอาหรับ). دار الكتاب الثقافي.
  3. Butzer, Karl W. (1994). "The Islamic Traditions of Agroecology: Crosscultural Experience, Ideas and Innovations". Ecumene. 1 (1): 26. doi:10.1177/147447409400100102. ISSN 0967-4608. S2CID 145363850.
  4. مجلة مجمع اللغة العربية الأردني (ภาษาอาหรับ). المجمع،. 1999.
  5. "AL-TIGNARI Y SU LUGAR DE ORIGEN" [Al-Tighnari and his place of origin] (PDF) (ภาษาสเปน). p. 9. En primer lugar, la alquería en donde nació al-Tignari estaba situada en la Vega granadina, entre Albolote y Maracena, como lo confirma la Bula de Erección de la diócesis de Granada.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 Umair Mirza (1986-02-01). Encyclopedia of Islam. Vol. 10. p. 479.
  7. مجلة مجمع اللغة العربية الأردني (ภาษาอาหรับ). المجمع،. 1999.
  8. 8.0 8.1 8.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ :22
  9. 9.0 9.1 9.2 Ed. Salma Khadra Jayyusi. Salma Khadra Jayyusi Legacy Of Muslim Spain.
  10. "AL-TIGNARI Y SU LUGAR DE ORIGEN" [Al-Tighnari and his place of origin] (PDF) (ภาษาสเปน). p. 4. Igual que otras destacadas personalidades granadinas, se trasladó a la taifa almeriense, tal vez a causa de sus desavenencias con el emir ,Abd Allah. Formó parte del grupo de poetas y científicos de la corte de los Banu Sumadih, ya que hace referencia a unos cultivos de carácter experimental, realizados en al-Sumadihiyya, noticia también interesante para la Historia de la Ciencia, pues de ella se intuye que este palacio almeriense, igual que los de otras taifas, como es el caso de Toledo y Sevilla, albergaba un jardín botánico.
  11. Ed. Salma Khadra Jayyusi. Salma Khadra Jayyusi Legacy Of Muslim Spain. p. 942.
  12. Imamuddin, S. M. (1981). Muslim Spain 711-1492 A.D.: a sociological study. BRILL. pp. 165–166. ISBN 978-90-04-06131-6.
  13. "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-27. สืบค้นเมื่อ 2010-10-30.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "note" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="note"/> ที่สอดคล้องกัน