อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก
ภาพวาดของอาร์เอ็มเอส โอลิมปิก วาดโดยเฟรด แพนซิง (Fred Pansing)
| |
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ชื่อ | อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (RMS Olympic) |
เจ้าของ |
|
ผู้ให้บริการ |
|
ท่าเรือจดทะเบียน | ลิเวอร์พูล |
เส้นทางเดินเรือ | เซาแทมป์ตัน – แชร์บูร์ก – ควีนส์ทาวน์ – นครนิวยอร์ก |
Ordered | 1907 |
อู่เรือ | ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์, เมืองเบลฟาสต์, ไอร์แลนด์เหนือ |
มูลค่าสร้าง | 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ |
Yard number | 400 |
ปล่อยเรือ | 16 ธันวาคม 1908 |
เดินเรือแรก | 20 ตุลาคม 1910 |
สร้างเสร็จ | 31 พฤษภาคม 1911 |
Maiden voyage | 14 มิถุนายน 1911 |
บริการ | 1911–1935 |
หยุดให้บริการ | 12 เมษายน 1935 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ปลดระวางและแยกชิ้นส่วนในปี 1935–37 |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | ชั้นโอลิมปิก |
ขนาด (ตัน): | 45,324 ตัน; 46,358 ตัน (หลังปี 1913); 46,439 ตัน (หลังปี 1920) |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 52,067 ตัน |
ความยาว: | 882 ฟุต 9 นิ้ว (269.1 เมตร)[1] |
ความกว้าง: | 92 ฟุต 9 นิ้ว (28.3 เมตร) |
ความสูง: | 175 ฟุต (53.4 เมตร) (ว้ดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ) |
กินน้ำลึก: | 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 9 ชั้น (8 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร และ 1 ชั้นสำหรับลูกเรือ) |
ระบบพลังงาน: |
|
ระบบขับเคลื่อน: | ใบจักร 3 ใบ ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางมีขนาด 16 ฟุต ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ และใบจักรซ้ายและขวามีขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 3 ใบ |
ความเร็ว: |
|
ความจุ: | 2,435 คน |
ลูกเรือ: | 950 คน |
หมายเหตุ: | เป็นเรือลำแรกจากทั้งหมดสามลำของเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิก (Olympic Class ocean liners) |
อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (อังกฤษ: RMS Olympic) หรือชื่อเต็มคือ เรือไปรษณีย์หลวงโอลิมปิก (Royal Mail Steamer Olympic) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษ และเป็นเรือลำแรกจากทั้งหมดสามลำในโครงการเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ (White Star Line) เรือลำนี้มีเส้นทางอาชีพยาวนานถึง 24 ปี ตั้งแต่ปี 1911–1935 ซึ่งตรงข้ามกับเรือไททานิก และบริแทนนิก เรือฝาแฝดของเธอที่มีอายุสั้นกว่า
เรือโอลิมปิกเคยเข้าประจำการเป็นเรือลำเลียงพลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้เธอได้รับชื่อเล่นว่า "Old Reliable" และกลับมาประจำการเป็นเรือโดยสารอีกครั้งหลังสงคราม และประสบความสำเร็จในตลอดทศวรรษที่ 1920 ถึงต้นทศวรรษที่ 1930 แต่หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทำให้การเดินเรือของเธอเริ่มขาดทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรือโอลิมปิกเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงสองช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. 1911–13 ซึ่งครองตำแหน่งได้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะถูกขัดจังหวะโดยไททานิกที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกันแต่น้ำหนักบรรทุกมวลรวมสูงกว่า และก่อนที่เรือเดินสมุทรเอสเอส อิมเพอเรเตอร์ (SS Imperator) ของเยอรมันจะเข้าประจำการในเดือนมิถุนายน 1913 และยังครองตำแหน่งเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างโดยอังกฤษจนกระทั่งเรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี (RMS Queen Mary) ได้เปิดตัวในปี 1934[3][4]
เรือโอลิมปิกถูกปลดระวางและถูกขายเป็นเศษเหล็กในวันที่ 12 เมษายน 1935 การแยกชิ้นส่วนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1937
เบื้องหลังและการสร้าง[แก้]
เบื้องหลัง[แก้]
ในปี 1906 ไวต์สตาร์ไลน์ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นหลังจากสายการเดินเรือคิวนาร์ด (Cunard Line) ได้สร้างเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) ซึ่งต่อมากลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น และปีต่อมาก็สร้างอาร์เอ็มเอส มอริทาเนีย (RMS Mauretania) ตามมา และกลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทนลูซิทาเนีย ซึ่งเรือแฝดคู่นี้ลำหน้ากว่าเรือของไวต์สตาร์ทั้งในด้านขนาด และความเร็ว[5]
ต่อมาในช่วงกลางปี 1907 ได้มีการประชุมระหว่างเจ. บรูซ อิสเมย์ (J. Bruce Ismay) ประธานของไวต์สตาร์ไลน์ และเจ. เพียร์พอนต์ มอร์แกน (J. Pierpont Morgan) นักการเงินชาวอเมริกัน ซึ่งควบคุมบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เมอร์แคนไทล์ มารีน จำกัด (International Mercantile Marine Co.; IMM) บริษัทแม่ของไวต์สตาร์ไลน์ เพื่อร่วมกันคิดรูปแบบเรือลำที่ดีกว่าเรือแฝดคู่นั้น
อิสเมย์ต้องการที่จะแข่งขันในด้านขนาดและความคุ้มค่ามากกว่าความเร็ว และได้เสนอให้สร้างเรือเดินสมุทรที่ใหญ่กว่าเรือลำใด ๆ ที่เคยมีมา เพื่อที่จะให้เป็นคำตอบสุดท้ายของความหรูหราและสะดวกสบาย เพื่อตอบโต้เรือแฝดของคิวนาร์ด และเพื่อแทนที่เรือเดินสมุทรชั้นทิวโทนิก (Teutonic-class ocean liner) ของไวต์สตาร์จากปี 1890 คืออาร์เอ็มเอส ทิวโทนิก (RMS Teutonic) และอาร์เอ็มเอส มาเจสติก (RMS Majestic)
และต่อมาก็ได้กำเนิดโครงการต่อเรือขนาดใหญ่ 3 ลำ ชื่อว่า "โครงการเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิก" (Olympic-class ocean liner) ซึ่งประกอบด้วยเรือ อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (RMS Olympic), อาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) และอาร์เอ็มเอส บริแทนนิก (RMS Britannic) ที่เน้นความหรูหราและความสะดวกสบายเป็นหลัก
การสร้าง[แก้]
เรือเหล่านี้ถูกสร้างโดยอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ (Harland and Wolff) ในเบลฟาสต์ ซึ่งมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับไวต์สตาร์ไลน์ที่ย้อนหลังไปถึงปี 1867[6] และได้ตกลงราคากับไวต์สตาร์ไว้ที่ 3 ล้านปอนด์ สำหรับเรือ 2 ลำแรก บวกกับ"ค่าพิเศษในสัญญา" และค่าธรรมเนียมปกติร้อยละ 5 [7]
ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ได้ว่าจ้างนักออกแบบมาทำงานออกแบบ ซึ่งกำกับดูแลโดยประธานของฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ ประกอบด้วยทอมัส แอนดรูส์ (Thomas Andrews) วิศวกรนาวีและหัวหน้าแผนกออกแบบของฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์, เอ็ดเวิร์ด ไวล์ดิ้ง (Edward Wilding) ผู้ช่วยของแอนดรูส์ รับผิดชอบในการคำนวณการออกแบบ ความเสถียร และการตกแต่งเรือ และอเล็กซานเดอร์ คาร์ไลล์ (Alexander Carlisle) หัวหน้าช่างเขียนแบบและผู้จัดการทั่วไปของฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ ซึ่งรับผิดชอบการตกแต่ง อุปกรณ์และการเตรียมการทั่วไปทั้งหมด รวมถึงดำเนินการออกแบบเรือชูชีพที่มีประสิทธิภาพ[8][9][10]
ในวันที่ 29 กรกฎาคม 1908 ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ได้นำเสนอแบบของเรือแก่บรูซ อิสเมย์และผู้บริหารของไวต์สตาร์คนอื่น ๆ อิสเมย์ได้อนุมัติการออกแบบและลงนามในหนังสือข้อตกลงในอีก 2 วันต่อมาเพื่ออนุญาตให้เริ่มการก่อสร้าง[11]
ในขณะนั้นจะเรียกชื่อเรือง่าย ๆ ว่า "หมายเลข 400" เนื่องจากเรือยังไม่มีชื่อ และเป็นเรือลำที่ 400 ที่สร้างโดยอู่ต่อเรือนี้[12]
เกร็ด: โธมัส เฮนรี อิสเมย์ (Thomas Henry Ismay) บิดาของเจ. บรูซ อิสเมย์ เคยวางแผนที่จะสร้างเรือชื่อโอลิมปิกเพื่อเป็นเรือแฝดกับโอเชียนิก ต่อมาคำสั่งต่อเรือได้ถูกยกเลิก เนื่องจากได้เขาได้เสียชีวิตไปก่อน[13]
ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ได้ขยายขนาดสถานที่ก่อสร้างของพวกเขาในเบลฟาสต์ เพื่อรองรับขนาดของเรือ และวางแผนการก่อสร้างเรือโอลิมปิกให้เริ่มขึ้นก่อนไททานิก 3 เดือน เพื่อลดแรงกดดันต่ออู่ต่อเรือ[10]
กระดูกงูของเรือโอลิมปิกถูกวางเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1908 และปล่อยลงน้ำในวันที่ 20 ตุลาคม 1910 โดยไม่ได้รับการขนานนาม[14] (ตามธรรมเนียมแล้วไวต์สตาร์ไลน์ไม่เคยขนานนามเรือลำใด ๆ ของตน)
ในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ ลำเรือได้ถูกทาด้วยสีเทาอ่อนเพื่อจุดประสงค์ในการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือลำดับแรกในชั้นเรือใหม่ เนื่องจากทำให้ลำเรือชัดเจนขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ[15] ในขณะนั้นได้มีการถ่ายทำฟุตเทจทั้งแบบขาวดำและแบบสี แต่มีเพียงฟุตเทจขาวดำเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ [16][17] (นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทำฟุตเทจการปล่อยเรือไททานิก และบริแทนนิก ลงน้ำ แต่มีเพียงของบริแทนนิกเท่านั้นที่รอดมาถึงทุกวันนี้)[18] ต่อมาลำเรือของโอลิมปิกถูกทาสีดำหลังจากการปล่อยลงน้ำ[19] จากนั้นเรือก็จอดเทียบท่าที่อู่แห้งเพื่อทำการตกแต่งเรือ
เรือโอลิมปิกขับเคลื่อนด้วยใบจักร 3 จักร ใบจักรซ้ายและขวาถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์กระบอกสูบไอน้ำ triple-expansion จำนวน 2 เครื่อง ในขณะที่ใบจักรกลางถูกขับเคลื่อนด้วยกังหันที่ใช้ไอน้ำที่เหลือจากเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง[20]
เรือชูชีพ[แก้]
การติดตั้งเรือชูชีพของเรือโอลิมปิกในปี 1911–1912 จะมีลักษณะเหมือนกับเรือไททานิก คือมีเรือบด 14 ลำ ตามข้อบังคับ, เรือเร็ว (cutter) 2 ลำ และเรือผ้าใบ 4 ลำ รวมทั้งหมด 20 ลำ[21] เรือผ้าใบ 2 ลำแรก (C และ D) ถูกเก็บไว้ในเรือเร็วทั้งฝั่งกราบซ้ายและขวา ส่วน 2 ลำสุดท้าย (A และ B) ถูกเก็บไว้ที่ด้านบนหลังคาห้องพักลูกเรือทั้งสองด้าน ข้างปล่องไฟแรก (เรือผ้าใบ B ถูกเก็บไว้ที่ฝั่งกราบซ้าย ส่วนเรือผ้าใบ A ถูกเก็บไว้ที่ฝั่งกราบขวา)
สภาพภายในเรือ[แก้]
เรือโอลิมปิกได้รับการออกแบบให้เป็นเรือที่หรูหรา สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสาร การตกแต่ง การออกแบบดาดฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกทางเทคนิคของไททานิก ส่วนใหญ่จะเหมือนกับโอลิมปิก แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ตาม[22]
ชั้นหนึ่ง (First class)[แก้]
บริเวณของผู้โดยสารชั้นหนึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้น A, B, C, D และบางส่วนของชั้น E และยังได้รับสิทธิในการขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ ผู้โดยสารชั้นนี้จะได้รับความหรูหราเต็มพิกัด
ผู้โดยสารชั้นหนึ่งจะมีห้องพักที่หรูหรา ซึ่งมีทั้งแบบห้องธรรมดากับแบบห้องชุดพิเศษ และบางห้องมีห้องน้ำส่วนตัว ผู้โดยสารจะได้รับความหรูหรามากกว่าโรงแรมเกือบทั้งหมดในอังกฤษหรือสหรัฐเมริกา
ผู้โดยสารในชั้นนี้สามารถรับประทานอาหารในห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ (saloon) ที่หรูหราของเรือ หรือในร้านอาหารตามสั่ง (À la Carte) ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น มีบันไดหรูหราขนาดใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า "บันไดแกรนด์" (The Grand Staircase) ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกเท่านั้น พร้อมด้วยลิฟต์ 3 ตัว ติดตั้งอยู่ด้านหลังบันได ที่สามารถลงไปยังดาดฟ้าชั้น E[23]
ชั้นนี้มีห้องสูบบุหรี่สไตล์จอร์เจียน, คาเฟ่ริมระเบียง (Veranda Café) ที่ตกแต่งด้วยต้นปาล์ม[24], สระว่ายน้ำ, ห้องอาบน้ำสไตล์ตุรกี[25], ยิมเนเซียม[26] และสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่งสำหรับรับประทานอาหารและความบันเทิง
ชั้นสอง (Second class)[แก้]
บริเวณของผู้โดยสารชั้นสองส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้น E ผู้โดยสารชั้นสองจะได้รับความหรูหราระดับพอ ๆ กับโรงแรมทั่วไป แม้จะยังไม่หรูหราเท่าชั้นหนึ่ง ห้องของชั้นสองมี 2 ขนาด คือขนาด 2 กับ 4 เตียงนอน ภายในห้องไม่แออัด มีเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัยในยุคนั้น โซฟาพักผ่อนในห้องส่วนตัว
สิ่งอำนวยความสะดวกชั้นสอง ได้แก่ ห้องสูบบุหรี่ ห้องสมุด ห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ และได้รับสิทธิในการใช้ลิฟต์[4][27]
ชั้นสาม (Third Class)[แก้]
บริเวณของผู้โดยสารชั้นสามส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้น F กับชั้น G และสิทธิบางอย่างก็ถูกจำกัด เช่น การใช้ลิฟต์ และการขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า
ผู้โดยสารชั้นสามของโอลิมปิก มีขนาดห้องพักที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับเรือลำอื่น ๆ แทนที่จะเป็นแบบหอพักขนาดใหญ่ที่ให้บริการโดยเรือส่วนใหญ่ในเวลานั้น ผู้โดยสารชั้นนี้ จะมีห้องพักที่มีขนาดตั้งแต่ 2 เตียง ไปจนถึง 10 เตียง
สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้โดยสารชั้นสาม ได้แก่ ห้องสูบบุหรี่ พื้นที่ส่วนกลาง และห้องรับประทานอาหาร[4][27]
เรือโอลิมปิก มีรูปลักษณ์ที่ดูสะอาดตาและโฉบเฉี่ยวกว่าเรือลำอื่น ๆ ในสมัยนั้น เนื่องจากฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์เลือกที่จะติดตั้งช่องระบายอากาศขนาดเล็กกับพัดลมไฟฟ้า แทนที่จะติดตั้งช่องระบายอากาศขนาดใหญ่แบบเรือลำอื่น ๆ และยังมีการใช้ปล่องไฟที่สี่ ที่สร้างสำหรับหลอกคู่แข่งและทำให้ดูสมดุล มาใช้ในการระบายอากาศเพิ่มเติมอีกด้วย
สำหรับเครื่องยนต์ของเรือ ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์เลือกใช้เครื่องยนต์ลูกสูบ (reciprocating engines) ร่วมกับกังหันแรงดันต่ำ (low-pressure turbine) ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งตรงข้ามกับกังหันไอน้ำที่ใช้ในเรือลูซิทาเนีย และมอริทาเนีย ของคิวนาร์ด[28]
ไวต์สตาร์ได้ประสบความสำเร็จในเครื่องยนต์นี้กับเรือรุ่นก่อนหน้า คือเรือเอสเอส ลอเรนติก (SS Laurentic) ซึ่งพบว่าประหยัดกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบหรือกังหันไอน้ำเพียงอย่างเดียว
เรือโอลิมปิก ใช้ถ่านหิน 650 ตัน/วัน ที่ความเร็วเฉลี่ย 21.7 นอต ในการเดินทางครั้งแรก เมื่อเทียบกับการใช้ถ่านหิน 1,000 ตัน/วัน ของลูซิทาเนีย และมอริทาเนีย จะพบว่าเรือโอลิมปิก ใช้เชื้อเพลิงประหยัดกว่ามาก[29]
ความแตกต่างจากไททานิก[แก้]
เรือโอลิมปิกและไททานิก มีลักษณะภายในและภายนอกเกือบจะเหมือนกันทุกประการ เพราะมาจากพื้นฐานการออกแบบเดียวกัน แต่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยบนไททานิก และต่อมาในบริแทนนิก
สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ ทางเดินบนชั้น A (promenade) ของไททานิกถูกปิดด้วยฉากเหล็กไปบางส่วน พร้อมกับติดตั้งหน้าต่างบานเลื่อน เพื่อให้มีพื้นที่กำบังเพิ่มเติม ในขณะที่ทางเดินชั้น A ของโอลิมปิกจะเปิดตลอดช่วง[30]
นอกจากนี้ ทางเดินบนชั้น B ของผู้โดยสารชั้นแรกของโอลิมปิกได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ค่อยได้ใช้ เนื่องจากพื้นที่ทางเดินบนชั้น A นั้นกว้างขวางอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้โทมัส แอนดรูว์ส จึงตัดสิ่งนี้ออกสำหรับไททานิก และสร้างห้องรับรองที่ขยายขนาดขึ้นพร้อมมีห้องน้ำในตัว และเพิ่ม Café Parisien ร้านกาแฟสไตล์ริมทางแบบฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนเสริมของร้านอาหารตามสั่ง (À la Carte) แทน และได้ขยายร้านอาหารไปทางฝั่งกราบซ้ายของเรือ ข้อเสียอย่างหนึ่งของสิ่งนี้คือพื้นที่ทางเดินบนชั้น B ของผู้โดยสารชั้นสองถูกลดขนาดลงบนไททานิก
มีการเพิ่มพื้นที่ต้อนรับของร้านอาหารในห้องโถงของชั้น B หลังบันไดแกรนด์ (Grand Staircase) บนไททานิกซึ่งไม่มีอยู่ในโอลิมปิก และห้องรับรองหลักบนชั้น D ก็ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน มีการเพิ่มทางเดินส่วนตัวขนาด 50 ฟุต (15 เมตร) เข้าไปในห้องสวีทสุดหรู 2 ห้องบนชั้น B ในไททานิก และเพิ่มทางเข้าเรือของผู้โดยสารชั้นแรกเพิ่มเติมบนชั้น B
ความแตกต่างด้านความสวยงามระหว่างเรือทั้งสองลำที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ การใช้พรมเอ็กซ์มินสเตอร์ (Axminster) ในห้องส่วนใหญ่บนไททานิก ซึ่งตรงกันข้ามกับโอลิมปิกที่เลือกใช้พื้นไลโนเลี่ยม (Linoleum) ซึ่งมีความทนทานมากกว่า
ข้อแตกต่างเหล่านี้เกี่ยวกับโอลิมปิกจะได้รับการแก้ไขในการปรับปรุงในปี 1913 ซึ่งปรับเปลี่ยนพื้นที่ของผู้โดยสารชั้นแรกในโอลิมปิกให้คล้ายกับไททานิก มากขึ้น แม้ว่าดาดฟ้าสำหรับเดินเล่นชั้น A จะยังคงเปิดตลอดช่วงเช่นเดิม แต่ดาดฟ้าสำหรับเดินเล่นชั้น B ถูกลดขนาดลง และเพิ่มห้องรับรอง, Café Parisien และร้านอาหารที่ขยายใหญ่ขึ้นเหมือนกับในไททานิกแทน
การปรับปรุงเรือในปี 1913 มีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของเรือให้มากขึ้นหลังจากการอับปางของไททานิก คือ เพิ่มเรือชูชีพให้มากขึ้น, เพิ่มความหนาของกำแพงกั้นน้ำด้านในตัวเรือตลอดความยาวครึ่งหนึ่งของเรือ, เพิ่มห้องกั้นน้ำอีก 1 ห้อง ทำให้จากเดิมที่มี 16 ห้อง กลายเป็น 17 ห้อง และขยายผนังกั้นน้ำให้สูงขึ้นไปถึงดาดฟ้าชั้น B[31]
ลักษณะเฉพาะของเรือ[แก้]
สัดส่วนเรือ[แก้]
- น้ำหนัก: 45,324 ตันกรอส (GRT), 46,358 ตัน (หลังปี 1913), 46,439 ตัน (หลังปี 1920)
- ระวางขับน้ำ: 52,310 ตัน
- ความยาว: 882 ฟุต 9 นิ้ว (269.1 เมตร)
- ความกว้าง: 92 ฟุต 9 นิ้ว (28.3 เมตร)
- ความสูง: 175 ฟุต (53.4 เมตร) (วัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ)
- กินน้ำลึก: 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร)
ลักษณะทั่วไป[แก้]
- ปล่องไฟ: 4 ปล่อง ติดหวูดไอน้ำทุกปล่อง ใช้เส้นเคเบิลตรึงปล่องละ 12 เส้น โดยแต่ละปล่องทำมุม 3.27 องศาจากแนวตั้งฉาก ใช้งานจริง 3 ปล่องแรก ส่วนปล่องสุดท้ายใช้ระบายอากาศและทำให้ดูสวยงามและสมดุล
- การทาสี: ปลายปล่องไฟทาสีดำ ตัวปล่องทาสีเหลืองอ่อนเนื้อลูกวัว ซุเปอร์สตรัคเจอร์ทาสีขาวงาช้าง ตัวเรือทำสีดำ โดยมีแถบสีทองคาดกลางระหว่างตัวเรือและซุเปอร์สตัคเจอร์ตลอดความยาวเรือ ท้องเรือใต้แนวน้ำทางสีแดง ใบจักรสีทองบรอนซ์
- เสากระโดงเรือ: 2 ต้น ต้นละ 47 เมตร
- หัวเรือ: ได้รับการออกแบบให้มีที่ตัดน้ำแข็งที่หัวเรือ, สมอเรือ 2 ตัว, ปั้นจั่น 1 ตัว, เสากระโดงเรือ 1 ต้น และช่องขนสินค้า
- ท้ายเรือ: หางเสือ 1 ตัว, สะพานเทียบเรือ, ปั้นจั่นยกสินค้า 2 ตัว, เสากระโดงเรือ 1 ต้น
- ประเภทวัสดุสร้างเรือ: เฟรมทำจากเหล็ก, โครงสร้างภายในทำจากไม้, เปลือกเรือภายในและภายนอกทำจากเหล็กกล้า พื้นดาดฟ้าเรือปูด้วยไม้สัก ปล่องไฟ ทำจากเหล็กกล้า, เสากระโดงเรือทำจากไม้สนสพรูซ, ท้องเรือ 2 ชั้น มีปีกกันโคลง (stabilizer) และมีเข็มทิศขนาดใหญ่บนดาดฟ้าชั้นอาบแดด (Sun deck) ระหว่างปล่องไฟหมายเลข 2 และ 3
- ดาดฟ้า: 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร, 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมีชั้นอาบแดด (Sun deck), ชั้นเรือบด (ชั้น A), ชั้นเดินเล่น (Promenade) (ชั้น B), ชั้น C-G, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ เครื่องยนต์และเพลาใบจักร
- วิทยุสื่อสาร: เช่าจากบริษัท มาร์โคนีไวร์เลสเทเลกราฟ (Marconi Wireless Telegraph)
- ตำแหน่งห้องวิทยุสื่อสาร: ชั้นเรือบด ฝั่งกราบซ้าย ถัดจากห้องสะพานเดินเรือ
- ตะเกียงส่งสัญญาณ: 2 ดวง ติดตั้งทั้งกราบซ้ายและขวา บริเวณปีกสะพานเดินเรือชั้นเรือบด
- สมอเรือ: 2 ตัว ตำแหน่งกราบซ้ายและขวาหัวเรือ หนัก 27 ตัน/ตัว
- ปั้นจั่นไฟฟ้า: 9 ตัว โดยมี 1 ตัว ที่หัวเรือสำหรับยกสมอเรือ, 2 ตัว บนชั้น C ด้านหน้าซุเปอร์สตรัคเจอร์ ใกล้กับช่องสินค้า (Well deck), 2 ตัว บนชั้น B ค่อนไปทางท้ายเรือ, 2 ตัว บนชั้น C ด้านหลังของซุเปอร์สตรัคเจอร์ ใกล้กับช่องสินค้า (Well deck) และ 2 ตัว ที่ท้ายเรือ
- โกดังสินค้า: 9 แห่ง (ห้องมาตรฐาน 6 ห้อง ห้องแช่แข็ง 2 ห้อง และห้องไปรษณีย์ ห้อง)
- ลิฟต์สินค้า: 2 ตัว (ตัวแรกจากชั้น A ไป ชั้น D, ตัวที่สอง จากชั้น D ไปชั้น G และลงท้องเรือโดยบันได)
- กำแพงกั้นน้ำ: 15 แนว แบ่งเป็น 16 ห้อง พร้อมประตูผนึกน้ำทำงานด้วยไฟฟ้า
- ความจุผู้โดยสาร: แบบพักเดี่ยว 1,324 คน (ชั้นหนึ่ง 329 คน ชั้นสอง 285 คน และชั้นสาม จำนวน 710 คน) และสามารถปรับเปลี่ยนเป็นพักแบบคู่ในบางห้องได้เป็น 2,435 คน (ชั้นหนึ่ง 735 คน, ชั้นสอง 674 คน และชั้นสาม 1,026 คน)
- ความจูสูงสุด: 3,547 คน
- เสื้อชูชีพ: 3,560 ชุด
- ห่วงชูชีพ: 49 ห่วง
- ลูกเรือ: 950 คน
ระบบขับเคลื่อน[แก้]
- ใบจักร: 3 ใบ ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางมีขนาด 16 ฟุต (4.8 เมตร) ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ และใบจักรซ้ายและขวามีขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว (7.1 เมตร) ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 3 ใบ
- เครื่องยนต์: เครื่องยนต์ 4 กระบอกสูบไอน้ำแบบ Triple Expansion จำนวน 2 เครื่อง ขับเคลื่อนโดยตรงกับใบจักรซ้าย-ขวา ให้กำลัง 30,000 แรงม้า 75 รอบ/นาที และไอน้ำความดันต่ำที่ผ่านการใช้จากเครื่องยนต์ทั้งสองจะเข้าสู่กังหันไอน้ำแรงดันต่ำ (low-pressure turbine) ขับเคลื่อนผ่านชุดเกียร์สู่ใบจักรกลาง ให้กำลัง 16,000 แรงม้า 165 รอบ/นาที รวม 46,000 แรงม้า (แรงม้าสูงสุด 59,000 แรงม้า)
- หม้อน้ำ: 29 ตัว แบ่งเป็น
- หม้อต้มไอน้ำแบบเติมถ่านได้ 2 ฝั่ง (double-ended) 24 เตา (6 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว)
- หม้อต้มไอน้ำแบบเติมถ่านได้ฝั่งเดียว (single-ended) 5 เตา (3 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว)
ต่อมาเปลี่ยนมาใช้น้ำมันในปี 1919
- เชื้อเพลิง:
- ถ่านหิน 825 ตัน/วัน (ถึงปี 1919)
- น้ำมัน 494 ตัน/วัน (ตั้งแต่ปี 1919)
- น้ำจืด: 14,000 แกลลอน/วัน
- หางเสือ: 1 ตัว ตำแหน่งท้ายเรือตรงกลาง หนัก 102.6 ตัน ยึดด้วยบานพับ 6 จุด
- ความเร็วเรือ:
- 1911: 21 นอต (39 กิโลเมตร/ชั่วโมง; 24 ไมล์/ชั่วโมง)
- 1933: 23 นอต (43 กิโลเมตร/ชั่วโมง; 26 ไมล์/ชั่วโมง)
- ความเร็วสูงสุด: 24.2 นอต (45 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
ประวัติ[แก้]
หลังจากเสร็จสิ้นการตกแต่งเรือ เรือโอลิมปิกได้เข้ารับการทดสอบทางทะเล (sea trials) ในวันที่ 29 พฤษภาคม 1911 โดยมีการทดสอบความคล่องแคล่ว เข็มทิศ และโทรเลขไร้สาย แต่ไม่มีการทดสอบความเร็ว[32]
ออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์[แก้]
ในวันที่ 31 พฤษภาคม 1911 อาร์เอ็มเอส โอลิมปิกเดินทางออกจากเมืองเบลฟาสต์ และมุ่งหน้าไปยังเมืองลิเวอร์พูลเพื่อนำเรือไปจดทะเบียน และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมเป็นเวลา 1 วันในลิเวอร์พูล
ในวันที่ 3 มิถุนายน 1911 โอลิมปิกแล่นไปยังเซาแทมป์ตันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเที่ยวแรก[33] การมาถึงของเธอได้สร้างความกระตือรือร้นจากลูกเรือของเธอและหนังสือพิมพ์เป็นอย่างมาก[34]
ท่าเรือน้ำลึกในเซาแทมป์ตัน ซึ่งขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ "ท่าเรือไวท์สตาร์" (White Star Dock) ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรองรับขนาดของเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกโดยเฉพาะ และเปิดใช้งานในปี 1911[35]
การเดินทางเที่ยวแรกของโอลิมปิก เริ่มขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 1911 จากเซาแทมป์ตัน แวะแชร์บูร์กและควีนส์ทาวน์ และถึงนครนิวยอร์กในวันที่ 21 มิถุนายน[36] โดยการเดินทางเที่ยวนั้นมีเอ็ดเวิร์ด สมิธ เป็นกัปตันเรือ พร้อมด้วยทอมัส แอนดรูส์ ผู้ออกแบบเรือ, วิศวกรจำนวนหนึ่ง, เจ. บรูซ อิสเมย์ ประธานของไวต์สตาร์ไลน์ และพนักงานจากฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ได้เดินทางไปกับเรือด้วย เพื่อตรวจหาปัญหาหรือจุดที่ต้องปรับปรุง[37]
เนื่องจากเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเดินทางเที่ยวแรกของโอลิมปิก จึงดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนและสาธารณชนเป็นอย่างมาก หลังจากที่เธอมาถึงนิวยอร์ก โอลิมปิกได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมและมีผู้มาเยี่ยมชมกว่า 8,000 คน จากนั้น ผู้คนมากกว่า 10,000 คน ได้เฝ้าดูเธอออกจากท่าเรือนิวยอร์ก สำหรับการเดินทางกลับเที่ยวแรก[38]
ในระหว่างการเดินทางครั้งที่สาม มีผู้สังเกตการณ์ของคิวนาร์ดไลน์เดินทางไปกับเรือ เพื่อค้นหาแนวคิดสำหรับเรือลำใหม่ของพวกเขาซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเรือลำนั้นก็คืออาร์เอ็มเอส แอควิทาเนีย (RMS Aquitania)[39]
เรือหลวงฮอว์ค[แก้]
อุบัติเหตุครั้งแรกของเรือโอลิมปิกเกิดขึ้นในการเดินทางครั้งที่ 5 ของเธอ ในวันที่ 20 กันยายน 1911 เมื่อเธอชนกับเรือลาดตระเวนเอชเอ็มเอส ฮอว์ค (HMS Hawke) ของราชนาวีอังกฤษ[40] ขณะที่เรือทั้งสองลำกำลังแล่นผ่านช่องแคบโซเลนท์ โอลิมปิกได้เลี้ยวเรือไปทางขวา ด้วยความยาวของเรือทำให้ฮอว์คไม่สามารถหลบได้ทัน[41] ทำให้หัวเรือของฮอวค์ ชนกับท้ายเรือฝั่งกราบขวาของโอลิมปิกจนฉีกเป็นรูขนาดใหญ่ 2 จุด ทั้งเหนือและใต้เส้นแนวน้ำ ส่งผลให้ท้ายของโอลิมปิกจมลงเล็กน้อย ห้องกั้นน้ำ 2 ห้องถูกน้ำท่วม และเพลาใบจักรเสียหาย[42] ถึงแม้จะมีความเสียหาย แต่โอลิมปิกก็สามารถแล่นกลับไปยังเซาแทมป์ตันได้อย่างปลอดภัย โดยในเหตุการณ์นี้ไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนเรือหลวงฮอวค์ ได้รับความเสียหายอย่างหนักที่หัวเรือจนเกือบอับปาง และได้รับการซ่อมแซมในเวลาต่อมา[43]
กัปตันเอ็ดเวิร์ด สมิธ เป็นกัปตันของโอลิมปิกในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ส่วนลูกเรือสองคน; ไวโอเล็ต เจสซ็อป (Violet Jessop) หญิงรับใช้บนเรือ และอาเธอร์ จอห์น พรีสต์ (Arthur John Priest) กรรมกรคุมเตา รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้[44] ไม่เพียงแต่รอดชีวิตจากการชนกับฮอว์คเท่านั้น แต่ยังรอดชีวิตจากการจมของไททานิก และบริแทนนิก ซึ่งเป็นเรือในชั้นเดียวกันในเวลาต่อมา[45]
จากการไต่สวนในภายหลัง ราชนาวีได้ตำหนิโอลิมปิก สำหรับเหตุการณ์นี้ โดยอ้างว่าขนาดของเธอทำให้เกิดแรงดูดที่ดึงฮอว์คเข้ามาที่ด้านข้างของเธอ[46][47]เหตุการณ์ชนกับเรือหลวงฮอวค์นี้ เป็นหายนะทางการเงินสำหรับไวต์สตาร์ไลน์ มีการตัดสินว่าโทษสำหรับเหตุการณ์นี้เป็นของโอลิมปิก และไวต์สตาร์ก็ต้องจ่ายค่าปรับทางกฎหมาย ค่าซ่อมเรือและค่าบำรุงรักษาเรือหลวงฮอวค์ให้กับราชนาวีเป็นจำนวนมาก[48][49][50]
อย่างไรก็ตาม การที่เรือโอลิมปิก ยังลอยลำอยู่ได้จากการชน เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการออกแบบของเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกและเสริมชื่อเสียง "ไม่มีวันจม" (Unsinkable) ให้กับเธอ[48]
ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์ ในการซ่อมแซมความเสียหายบางส่วนของโอลิมปิกก่อน เพื่อให้เธอสามารถกลับไปยังเบลฟาสต์เพื่อทำการซ่อมแซมอย่างจริงจัง ซึ่งใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น[51] ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์จำเป็นต้องไปยืมเพลาใบจักรมาจากไททานิก เพื่อเร่งการซ่อมแซม ทำให้ไททานิกเสร็จล่าช้าออกไป[52]
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1911 โอลิมปิกได้กลับมาให้บริการอีกครั้ง แต่ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1912 โอลิมปิกก็ประสบกับอุบัติเหตุครั้งที่สอง เนื่องจากปีกอันหนึ่งของใบจักรซ้ายหักโดยไม่ทราบสาเหตุ ระหว่างการเดินทางกลับจากนครนิวยอร์ก และถูกนำกลับไปซ่อมแซมอีกครั้ง ทำให้ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์จำเป็นต้องดึงทรัพยากรมาจากไททานิกอีกครั้ง เพื่อให้โอลิมปิกกลับมาประจำการโดยเร็วที่สุด ซึ่งทำให้การเดินทางเที่ยวแรกของไททานิกล่าช้าไปถึง 3 สัปดาห์ คือตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม ถึง 10 เมษายน ค.ศ. 1912[53][54]
ไททานิกอับปาง[แก้]
ในวันที่ 14 เมษายน 1912 เรือโอลิมปิก ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันเฮอร์เบิร์ต เจมส์ แฮดด็อก (Herbert James Haddock) กำลังเดินทางกลับจากนครนิวยอร์ก เออร์เนสต์ เจมส์ มัวร์ (Ernest James Moore) พนักงานประจำห้องโทรเลขไร้สาย[55]ได้รับโทรเลขขอความช่วยเหลือจากเรือไททานิกขณะอยู่ห่างจากไททานิกออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 505 ไมล์ (812.7 กิโลเมตร)[56] กัปตันแฮดด็อกได้คำนวณเส้นทางใหม่และสั่งให้เร่งเครื่องยนต์เต็มกำลังและมุ่งหน้าไปช่วยเหลือไททานิก[57]
ต่อมาเรือโอลิมปิกขณะอยู่ห่างจากตำแหน่งที่ทราบล่าสุดของไททานิกประมาณ 100 ไมล์ทะเล (190 กิโลเมตร; 120 ไมล์) ได้รับโทรเลขจากกัปตันอาเทอร์ รอสตรอน (Arthur Rostron) ของเรืออาร์เอ็มเอส คาร์พาเทีย (RMS Carpathia) ของคิวนาร์ดไลน์ ซึ่งมาถึงที่เกิดเหตุก่อนแล้ว รอสตรอนได้บอกว่า "ถ้าโอลิมปิกยังมุ่งหน้าไปช่วยไททานิกต่อไปจะไม่มีประโยชน์อันใด เนื่องจากเรือของตนได้มาช่วยเหลือผู้รอดชีวิตทั้งหมดแล้ว และเรือไททานิกได้จมลงมหาสมุทรไปเมื่อเวลาประมาณ 02:20 น."[56]
โอลิมปิกอาสาจะรับผู้รอดชีวิตทั้งหมดจากคาร์พาเทีย แต่ถูกปฏิเสธโดยกัปตันรอสตรอนภายใต้คำสั่งของอิสเมย์[56] เนื่องจากกังวลว่าการที่ให้ผู้รอดชีวิตขึ้นเรือโอลิมปิกนั้น จะทำให้ผู้รอดชีวิตเกิดภาพหลอนและรู้สึกสะเทือนใจ[58] หลังจากนั้นโอลิมปิกก็มุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังเซาแทมป์ตัน และไปถึงในวันที่ 21 เมษายน[4][59]
ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา โอลิมปิกได้ให้ความช่วยเหลือทั้งอเมริกาและอังกฤษในการสืบสวนเหตุการณ์เรือไททานิกล่ม เจ้าหน้าที่จากทั้งสองประเทศได้เข้าตรวจสอบเรือชูชีพ ประตูกั้นน้ำ ผนังกั้นน้ำ และอุปกรณ์อื่น ๆ ของโอลิมปิก ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับไททานิก[60] และได้ดำเนินการทดสอบเรือสำหรับการไต่สวนของอังกฤษในเดือนพฤษภาคม 1912 เพื่อตรวจสอบว่าเรือสามารถเลี้ยวด้วยความเร็วต่าง ๆ ได้เร็วเพียงใด เพื่อประเมินว่าไททานิกจะใช้เวลานานแค่ไหนในการเลี้ยวหลบหลังจากเห็นภูเขาน้ำแข็ง[61][62]
การประท้วงเรื่องเรือชูชีพในปี 1912[แก้]
เช่นเดียวกับไททานิก โอลิมปิกมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือ ดังนั้นจึงมีการติดตั้งเรือชูชีพผ้าใบเพิ่มเติมทันที หลังจากที่เดินทางกลับไปอังกฤษ[63]
ในช่วงปลายเดือนเมษายน 1912 ขณะกำลังจะเดินทางจากเซาแทมป์ตันไปยังนครนิวยอร์ก คนงานเติมถ่านหิน 284 คนของเรือได้นัดหยุดงาน เพราะกังวลว่าเรือชูชีพผ้าใบชุดใหม่ไม่เหมาะสมที่จะใช้งาน[64][65] ต่อมาคนงานที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพแรงงาน 100 คน จากเซาแทมป์ตันและลิเวอร์พูลได้รับการว่าจ้างอย่างเร่งด่วนเพื่อมาทดแทน[66]
เรือชูชีพผ้าใบ 40 ลำ ได้รับการติดตั้งบนโอลิมปิก แต่เรือผ้าใบบางส่วนนั้นไม่สามารถทนคลื่นและเปิดใช้งานไม่ได้ ต่อมาคนงานได้ส่งคำขอไปยังผู้จัดการของไวต์สตาร์ไลน์ในเซาแทมป์ตัน ให้เปลี่ยนจากเรือผ้าใบเป็นเรือไม้ แต่ผู้จัดการกลับตอบว่าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเรือผ้าใบนั้นผ่านการตรวจสอบโดยสภาหอการค้าว่าสามารถทนคลื่นได้ ทำให้คนงานเริ่มไม่พอใจและนัดหยุดงานเพื่อประท้วง[65]
ต่อมาในวันที่ 25 เมษายน ตัวแทนของผู้ประท้วงได้ประกาศว่าพร้อมที่จะให้คนงานกลับไปทำงานดังเดิม หากมีการเปลี่ยนชนิดเรือชูชีพ และยังได้เรียกร้องให้ไล่คนงานที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพแรงงานที่เข้ามาทำงานบนเรือออก แต่ไวต์สตาร์ไลน์ปฏิเสธทั้งหมด จากนั้นคนงาน 54 คนก็ลาออก เพื่อต่อต้านคนงานที่ไม่ได้อยู่สหภาพแรงงาน ซึ่งพวกเขาอ้างว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอและเป็นอันตราย และปฏิเสธที่จะทำงานกับพวกเขา สิ่งนี้ทำให้กำหนดการเดินทางถูกยกเลิก[67][68]
ในวันที่ 4 พฤษภาคม 1912 คนงานทั้ง 54 คนถูกจับในข้อหาก่อจลาจลเมื่อพวกเขาขึ้นฝั่ง แต่ผู้พิพากษาเห็นว่าข้อกล่าวหาของคนงานได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง และได้ปล่อยตัวพวกเขาโดยไม่ต้องจำคุกหรือปรับ[69] ไวต์สตาร์ไลน์ให้พวกเขากลับมาทำงานอีกครั้งในวันที่ 15 พฤษภาคม เนื่องจากกลัวว่าประชาชนจะเห็นด้วยกับคนงาน[70]
การปรับปรุงหลังไททานิกอับปาง[แก้]
ในวันที่ 9 ตุลาคม 1912 ไวต์สตาร์ไลน์ส่งโอลิมปิกกลับไปยังผู้สร้างของเธอในเบลฟาสต์ เพื่อปรับปรุงและแก้ไขเรือหลังจากได้รับบทเรียนครั้งใหญ่จากการอับปางของเรือไททานิกเมื่อ 6 เดือนก่อน รวมถึงการเพิ่มความปลอดภัยของเรือให้มากขึ้น[71]
มีการเพิ่มจำนวนเรือชูชีพจาก 20 ลำเป็น 68 ลำ และมีการติดตั้งดาวิต (เครนแขวนเรือชูชีพ) เพิ่มเติมเพื่อรองรับเรือเหล่านี้ มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำชั้นในเพิ่มอีกชั้นหนึ่งระหว่างห้องหม้อไอน้ำและห้องเครื่อง และเพิ่มความหนาผนังตัวเรือเป็นตัวเรือสองชั้น (Double hull)[72] กำแพงกั้นน้ำ 5 แนวถูกขยายไปจนถึงชั้น B ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตัวเรือ สิ่งนี้แก้ไขข้อบกพร่องในการออกแบบดั้งเดิมที่สูงขึ้นไปถึงเพียงแค่ชั้น E หรือ D ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[73] ช่องโหว่นี้ถูกเปิดเผยในช่วงที่ไททานิกกำลังจม ซึ่งขณะนั้นน้ำได้ทะลักออกมาเหนือกำแพงกั้นน้ำขณะที่เรือกำลังอับปาง
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างกำแพงกั้นน้ำเพิ่มเติมในห้องเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้จำนวนห้องกั้นน้ำจากเดิม 16 ห้องกลายเป็น 17 ห้อง และยังเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องสูบน้ำของเรืออีกด้วย การปรับปรุงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเรือโอลิมปิกจะสามารถรอดจากการชนแบบเดียวกับไททานิกได้ โดยเรือจะยังสามารถลอยอยู่ได้หากมีน้ำท่วมอย่างน้อย 6 ห้อง (จากเดิม 4 ห้อง)[74][75]
ในเวลาเดียวกันดาดฟ้าชั้น B ได้รับการปรับปรุงใหม่ คือ เพิ่มจำนวนห้องพักและห้องอาบน้ำส่วนตัว ขยายขนาดร้านอาหารตามสั่ง (Á La Carte) เพิ่มคาเฟ่สไตล์ปารีส (Café Parisien) และเพิ่มส่วนเสริมอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมในเรือไททานิก ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ (และการปรับปรุงครั้งที่ 2 ในปี 1919) ทำให้ระวางบรรทุกมวลรวม (GRT) ของเรือโอลิมปิกเพิ่มขึ้นเป็น 46,439 ตัน ซึ่งมากกว่าเรือไททานิก 111 ตัน[76][77]
ในเดือนมีนาคม 1913 เรือโอลิมปิกก็ได้กลับมาให้บริการอีกครั้งและได้รับตำแหน่งเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จนกระทั่งเรือเดินสมุทรเอสเอส อิมเพอเรเตอร์ (SS Imperator) ของเยอรมัน ได้ให้บริการในเดือนมิถุนายน 1913
สงครามโลกครั้งที่ 1[แก้]
ในวันที่ 4 สิงหาคม 1914 อังกฤษได้ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรือโอลิมปิกยังคงให้บริการเชิงพาณิชย์อยู่ในช่วงแรกของสงคราม ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันเฮอร์เบิร์ต เจมส์ แฮดด็อค
ตามมาตรการในช่วงสงคราม ลำเรือของโอลิมปิกได้ถูกทาสีด้วยโทนสีเทา หน้าต่างเรือถูกปิด และปิดไฟบนเรือ เพื่อให้ศัตรูมองเห็นเรือได้น้อยลง และท่าเรือต้นทางก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็นที่ลิเวอร์พูล และต่อมาก็มีการเปลี่ยนอีกครั้งเป็นที่เป็นกลาสโกว์[4][78]
การเดินทางในช่วงสงคราม 2-3 ครั้งแรกเต็มไปด้วยชาวอเมริกันในยุโรปที่อยากจะกลับบ้าน แม้ว่าในการเดินทางจะมีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คนก็ตาม
ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ยอดจองผู้โดยสารของโอลิมปิกลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการคุกคามจากเรืออูของเยอรมันเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ไวต์สตาร์ไลน์ตัดสินใจถอนโอลิมปิกออกจากให้บริการเชิงพาณิชย์
ในวันที่ 21 ตุลาคม 1914 ในการเดินเรือเชิงพาณิชย์เที่ยวสุดท้ายในสงคราม เธอออกจากนิวยอร์กไปยังกลาสโกว์ โดยมีผู้โดยสารเพียง 153 คน[79][78]
เรือหลวงออดาเซียส[แก้]
ในวันที่ 27 ตุลาคม 1914 เรือโอลิมปิก ขณะกำลังแล่นผ่านลอฟสวิลลี (Lough Swilly) นอกชายฝั่งทางเหนือของไอร์แลนด์ ได้รับสัญญาณอับจนจากเรือประจัญบานเอชเอ็มเอส ออดาเชียส (HMS Audacious) ซึ่งชนกับทุ่นระเบิดใกล้กับเกาะทอรี่ และกำลังจะอับปาง ขณะนั้นมีเรือลาดตระเวนเบาเอชเอ็มเอส ลิเวอร์พูล (HMS Liverpool) อยู่ในกองเรือด้วย[80]
โอลิมปิกได้ช่วยเหลือลูกเรือ 250 คนของออดาเชียส จากนั้นเรือพิฆาตเอชเอ็มเอส ฟิวรี่ (HMS Fury) ก็ติดสายเคเบิลลากระหว่างออดาเซียสและโอลิมปิก และพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังลอฟสวิลลี อย่างไรก็ตาม สายเคเบิลได้ขาดออกเนื่องจากระบบบังคับเลี้ยวของออดาเชียสไม่สามารถใช้การได้ มีความพยายามครั้งที่สองในการลากแต่สายเคเบิลได้พันกันในใบจักรของลิเวอร์พูลจนขาด และมีความพยายามครั้งที่สาม แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นกันเนื่องจากสายเคเบิลได้ขาดอีกครั้ง
ต่อมาในเวลา 17:00 น. ท้ายของออดาเซียสได้จมลงใต้น้ำ มีการอพยพลูกเรือที่เหลือไปยังโอลิมปิกและลิเวอร์พูล และในเวลา 20:55 น. ก็เกิดการระเบิดขึ้นบนออดาเซียส และได้อับปางลง[81]
เรือลำเลียงพล[แก้]
ไวต์สตาร์ไลน์ตั้งใจจะนำโอลิมปิกไปจอดไว้ที่เบลฟาสต์จนกว่าสงครามจะยุติ แต่ได้ถูกเกณฑ์โดยกองทัพเรือเพื่อใช้เป็นพาหนะขนส่งทหารเสียก่อนในเดือนพฤษภาคม 1915 พร้อมกับเรือมอริทาเนียและแอควิทาเนีย ของคิวนาร์ดไลน์
ในตอนแรกกองทัพเรือนั้นไม่ต้องการใช้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เป็นพาหนะขนส่งทหาร เนื่องจากเรือขนาดใหญ่จะเลี่ยงการโจมตีของศัตรูได้ยาก อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนเรือทำให้กองทัพเรือมีทางเลือกไม่มากนัก ในเวลาเดียวกัน เรือบริแทนนิก เรือแฝดอีกลำของโอลิมปิกซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ ถูกกองทัพเรือร้องขอให้เป็นเรือพยาบาล ซึ่งต่อมาได้ถูกโจมตีด้วยทุ่นระเบิดของเยอรมันและอับปางลงในทะเลอีเจียนในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1916[82]
เรือโอลิมปิกถูกดัดแปลงเป็นเรือลำเลียงพล ของตกแต่งเดิมถูกนำออกและติดตั้งอาวุธปืนขนาด 12 ปอนด์ และ 4.7 นิ้ว พร้อมกับความสามารถในการบรรทุกทหารได้ถึง 6,000 นาย และได้รับรหัสระบุเรือใหม่ คือ HMT 2810 (Hired Military Transport; พาหนะรับจ้างขนส่งทหาร)[83]
ในวันที่ 24 กันยายน 1915 เรือโอลิมปิกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันเบอร์แทรม ฟ็อกซ์ เฮย์ส (Bertram Fox Hayes) และเดินทางออกจากลิเวอร์พูลพร้อมกับทหาร 6,000 นายไปยังมูดรอส ประเทศกรีซ เพื่อไปเข้าร่วมการทัพกัลลิโปลี
ในวันที่ 1 ตุลาคม เรือสัญชาติฝรั่งเศสชื่อโปรวินเซีย (Provincia) ถูกจมโดยเรืออูของเยอรมัน ที่นอกแหลมมะตะบัน มีผู้รอดชีวิต 34 คน ต่อมาได้รับการช่วยเหลือโดยโอลิมปิก เฮย์สถูกกองทัพเรือตำหนิเกี่ยวกับการกระทำนี้ ซึ่งกล่าวหาว่าเขาทำให้เรือตกอยู่ในอันตรายจากการหยุดเรือในน่านน้ำที่เรือของศัตรูอยู่ และเรือขนาดใหญ่เช่นนี้ถ้าจอดอยู่กับที่จะทำให้กลายเป็นเป้านิ่งทันที อย่างไรก็ตาม พลเรือโทหลุยส์ ดาร์ติเก้ ดู โฟร์เน็ต (Louis Dartige du Fournet) ของฝรั่งเศส มีมุมมองที่แตกต่างออกไป และได้มอบเหรียญเกียรติยศให้กับเฮย์ส
เรือโอลิมปิกยังเดินทางอีกหลายครั้งไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงต้นปี 1916 เมื่อการทัพกัลลิโปลีสิ้นสุดลง[84]
ในปี 1916 มีการพิจารณาจะใช้เรือโอลิมปิกขนส่งทหารไปยังอินเดียผ่านทางแหลมกู๊ดโฮป อย่างไรก็ตาม มีการตัดสินใจว่าโอลิมปิกไม่เหมาะกับงานนี้ เนื่องจากบังเกอร์ถ่านหินซึ่งได้รับการออกแบบมาสำหรับการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาดความสามารถสำหรับการเดินทางดังกล่าวด้วยความเร็วปกติ[85]
ตั้งแต่ปี 1916–1917 เรือโอลิมปิกถูกเช่าโดยรัฐบาลแคนาดาเพื่อขนส่งทหารจากแฮลิแฟกซ์ไปยังอังกฤษ[86] ในปี 1917 เธอได้รับการติดตั้งปืนขนาด 6 นิ้ว และทาสีลายพรางที่ทำให้ตาพร่า (Dazzle camouflage) เพื่อให้ศัตรูประเมินความเร็วและการมุ่งหน้าของเธอได้ยากขึ้น สีที่ทำให้ตาพร่าของเธอคือสีน้ำตาล, น้ำเงินเข้ม, ฟ้าอ่อน และขาว
การเดินทางหลายครั้งของเธอทำให้ทหารแคนาดาข้ามทะเลได้อย่างปลอดภัย และทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวเมืองแฮลิแฟกซ์ชื่นชอบ
เรือโอลิมปิกยังได้ขนส่งทหารอเมริกันหลายพันนายไปยังอังกฤษ หลังจากสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1917[87]
จมเรือดำน้ำเยอรมัน U-103[แก้]
ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 12 พฤษภาคม 1918 เรือโอลิมปิกที่ยังคงอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันเฮย์ส กำลังแล่นผ่านช่องแคบอังกฤษในการเดินทางไปฝรั่งเศส ซึ่งบรรทุกทหารสหรัฐไปด้วย ได้พบเห็นเรือดำน้ำ U-103 ลอยอยู่ข้างหน้าประมาณ 500 เมตร (1,600 ฟุต)[88] พลแม่นปืนของโอลิมปิกเปิดฉากยิงทันที และหัวเรือก็ชนกับ U-103
U-103 ดำลงไปที่ระดับ 30 เมตร (98 ฟุต) ทันทีเพื่อพยายามหลบโอลิมปิก และแล่นขนานไปกับท้องเรือโอลิมปิก ก่อนที่หอบังคับการของ U-103 จะไปโดนใบจักรซ้ายของโอลิมปิก และฟันถึงตัวเรือรักษาความดัน (pressure hull) ของ U-103
ลูกเรือของ U-103 ทำการระเบิดถังอับเฉาและสละเรือ ทำให้ลูกเรือ 9 คนเสียชีวิต โอลิมปิกไม่ได้หยุดรับผู้รอดชีวิต แต่เดินทางต่อไปยังเมืองแชร์บูร์ก ในเวลาต่อมาเรือพิฆาตสหรัฐ ยูเอสเอส เดวิส (USS Davis) ที่ผ่านมาพอดี ได้ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตทั้ง 35 คน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ท้องเรือส่วนหน้าของโอลิมปิกบุบ และหัวเรือบิดไปข้างหนึ่ง แต่ไม่แตก[89]
ในภายหลังพบว่า U-103 กำลังเตรียมพร้อมที่จะยิงตอร์ปิโดใส่โอลิมปิก แต่ลูกเรือไม่สามารถท่วมท่อยิงตอร์ปิโดได้ทัน[90] จากเหตุการณ์นี้ ทำให้กัปตันเฮย์สได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโดดเด่น (Distinguished Service Order; DSO)[91] ทหารอเมริกันบางส่วนบนเรือได้ลงขันกันเพื่อมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ เพื่อประดับไว้ในห้องรับรองแห่งหนึ่งของโอลิมปิก เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ โดยมีข้อความว่า:
"ป้ายนี้นำเสนอโดยกองทหารราบที่ 59 แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อรำลึกถึงการจมเรือดำน้ำเยอรมัน U103 โดยเอชเอ็มที โอลิมปิก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1918 ที่ละติจูด 49 องศา 16 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 4 องศา 51 ลิปดาตะวันตก ระหว่างการเดินทางจากนิวยอร์กไปยังเซาแทมป์ตันกับกองทหารอเมริกัน..."[92]
ในช่วงสงคราม เรือโอลิมปิกได้ขนส่งทหารและบุคลากรอื่น ๆ มากถึง 201,000 คน เผาถ่านหินไป 347,000 ตัน และเดินทางเป็นระยะทางรวมประมาณ 184,000 ไมล์ (296,000 กิโลเมตร)[93] จากผลงานที่โดดเด่นในช่วงสงคราม สังคมและสื่อในเวลานั้นจึงตั้งชื่อเล่นให้เรือซึ่งฟังดูคล้ายกับชื่อเรือว่า "The Old Reliable" (แปลว่า "เรือเก่าที่ไว้ใจได้")[94] และกัปตันเฮย์สก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินในปี 1919[95]
หลังสงคราม[แก้]
ในเดือนสิงหาคม 1919 โอลิมปิกกลับมายังเบลฟาสต์เพื่อดัดแปลงกลับมาเป็นเรือโดยสาร การตกแต่งภายในได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น และถูกเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นน้ำมัน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการเติมเชื้อเพลิงจาก 1 วัน เหลือเพียง 5–6 ชั่วโมง การแก้ไขนี้ทำให้เครื่องยนต์มีความเร็วรอบคงที่ที่มากขึ้น และลดบุคลากรในห้องเครื่องยนต์จาก 350 คน เหลือเพียง 60 คน[96]
หลังจากการปรับปรุง น้ำหนักของโอลิมปิกได้เพิ่มขึ้นเป็น 46,439 ตัน ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นเรือเดินสมุทรที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างโดยอังกฤษ
ในวันที่ 25 มิถุนายน 1920 เธอกลับมาให้บริการผู้โดยสารอีกครั้ง[97] และขนส่งผู้โดยสารไป 38,000 คนในช่วงปี 1921 ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในอาชีพการงานของเธอ
หลังจากไททานิกและบริแทนนิกอับปางไป ทำให้โอลิมปิกขาดเพื่อนร่วมวิ่งสำหรับบริการเรือเดินสมุทรด่วน ต่อมาในปี 1922 ไวต์สตาร์ไลน์ได้รับอดีตเรือเดินสมุทรของเยอรมัน 2 ลำ ได้แก่ อาร์เอ็มเอส มาเจสติก (RMS Majestic) และอาร์เอ็มเอส โฮเมอริก (RMS Homeric) ซึ่งมอบให้อังกฤษเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม ทั้งสองเข้าร่วมกับโอลิมปิกในฐานะเพื่อนร่วมกองเรือ และประสบความสำเร็จจนกระทั่งเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังปี 1930[98]
ในช่วงทศวรรษที่ 1920 โอลิมปิกยังคงเป็นเรือที่มีความทันสมัยและได้รับความนิยมอยู่ และมักจะดึงดูดคนรวยและมีชื่อเสียงในสมัยนั้น เช่น มารี กูว์รี (Marie Curie), ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin), แมรี พิกฟอร์ด (Mary Pickford) และดักลาส แฟร์แบงค์ส (Douglas Fairbanks) เสน่ห์อย่างหนึ่งของโอลิมปิกคือการที่เธอมีลักษณะคล้ายกับไททานิก และผู้โดยสารส่วนมากเดินทางบนโอลิมปิกเพราะเพื่อเป็นประสบการณ์แทนการเดินทางบนเรือน้องสาวของเธอ[99]
ในวันที่ 22 มีนาคม 1924 โอลิมปิกประสบอุบัติเหตุอีกครั้งที่ท่าเรือนิวยอร์ก ขณะกำลังจะเดินทางกลับเซาแทมป์ตัน ท้ายเรือของเธอชนกับเรือชื่อฟอร์ตเซนต์จอร์จ (Fort St George) ซึ่งขวางเส้นทางของเธออยู่ ทำให้เรือเสียหายอย่างหนัก ส่วนโอลิมปิกได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย แต่ภายหลังปรากฏว่าจุดยึดหางเสือของเธอแตก ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงท้ายเรือทั้งหมด[100]
ในปี 1924 มีการแก้กฎหมายคนเข้าเมืองในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำกัดจำนวนผู้อพยพไว้ปีละประมาณ 160,000 คน[101] สิ่งนี้นำไปสู่การลดลงอย่างมากของผู้โดยสารชั้นผู้อพยพสำหรับสายการเดินเรือ และบังคับให้พวกเขาต้องเปลี่ยนเป็นบริการนักท่องเที่ยวแทนเพื่อความอยู่รอด[4]
ในช่วงปี 1925 'ชั้นสามสำหรับนักท่องเที่ยว' (tourist third class) ถูกเพิ่มเข้ามาในโอลิมปิก[102] ซึ่งเป็นความพยายามที่จะดึงดูดนักเดินทางที่ต้องการความสะดวกสบายโดยที่ราคาตั๋วไม่สูงมากนัก ก่อนที่จะถูกรวมกับชั้นสองและกลายเป็น 'ชั้นนักท่องเที่ยว' ในปลายปี 1931
อีก 1 ปีต่อมา ห้องพักผู้โดยสารชั้นหนึ่งบนโอลิมปิกได้รับการปรับปรุงอีกครั้งโดยการเพิ่มห้องน้ำ ติดตั้งฟลอร์เต้นรำในห้องรับประทานอาหารชั้นหนึ่งที่ขยายใหญ่ขึ้น และเพิ่มห้องสวีทใหม่จำนวนหนึ่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัว[103]
ในปี 1929 เรือโอลิมปิก มีจำนวนผู้โดยสารโดยเฉลี่ยมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1925
ช่วงสุดท้าย[แก้]
การค้าทางเรือได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งโดยปกติจะมีผู้โดยสารบนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกประมาณ 1,000,000 คน/ปี จนถึงปี 1930 แต่จำนวนนี้ลดลงมากกว่าครึ่งในปี 1934
นอกจากนี้ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 ยังมีการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากเรือเดินสมุทรรุ่นใหม่ที่ใหญ่และเร็วกว่า เช่น เอสเอส เบรเมิน (SS Bremen) และเอสเอส ยูโรป้า (SS Europa) ของเยอรมัน, เอสเอส เร็กซ์ (SS Rex) ของอิตาลี, และเอสเอส อิลเดอฟรองซ์ (SS Île de France) ของฝรั่งเศส จึงทำให้จำนวนผู้โดยสารต่อการเดินทางหนึ่งครั้งบนโอลิมปิกลดลงมากกว่าครึ่ง จากปกติที่จะมีผู้โดยสารเฉลี่ยประมาณ 1,000 คน ในปี 1932[104]
ในปลายปี 1932 ด้วยจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง โอลิมปิกได้ทำการยกเครื่องและปรับปรุงใหม่เป็นเวลาเวลา 4 เดือน และกลับมาให้บริการอีกครั้งในวันที่ 5 มีนาคม 1933 โดยไวต์สตาร์ได้โฆษณาเธอว่า "ดูเหมือนใหม่" ในช่วงนี้เครื่องยนต์ของเธอทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด และบันทึกความเร็วซ้ำๆ ได้มากกว่า 23 นอต (43 กม./ชม.; 26 ไมล์/ชม.) แม้ว่าความเร็วเฉลี่ยจะน้อยกว่าในการให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกตามปกติก็ตาม ในตอนนี้โอลิมปิกจุผู้โดยสารชั้นหนึ่งได้เพียง 618 คน ชั้นนักท่องเที่ยว 447 คน และชั้นสาม 382 คน เนื่องจากลูกค้าผู้อพยพมีปริมาณลดลง[105]
ในช่วงปี 1933–1934 โอลิมปิกก็ได้ประสบภาวะขาดทุนเป็นครั้งแรก โดยมีผู้โดยสารเพียง 9,000 คน ในปี 1933 ซึ่งนับเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุดของโอลิมปิก[106] จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 1934 แต่ก็ยังคงขาดทุน[104]
เรือให้สัญญาณไฟแนนทัคเก็ต[แก้]
การเข้าใกล้นิวยอร์กจะถูกทำเครื่องหมายด้วยเรือให้สัญญาณไฟ (lightship) ซึ่งเรือโอลิมปิกและเรือเดินสมุทรลำอื่น ๆ จะทราบกันดีว่าจะต้องผ่านใกล้เรือเหล่านี้
ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1934 เวลา 11:06 น. เรือโอลิมปิกภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันจอห์น ดับบลิว. บิงส์ (John W. Binks) ได้แล่นเข้ามาท่ามกลางหมอกหนา และกำลังผ่านสัญญาณวิทยุของเรือให้สัญญาณไฟแนนทัคเก็ต แอลวี-117 (Nantucket Lightship LV-117)[107] โอลิมปิกไม่สามารถเลี้ยวได้ทันเวลาและชนกับเรือให้สัญญาณไฟจนแตกออกและอับปางลง[108]
ลูกเรือของเรือให้สัญญาณไฟ 4 คนเสียชีวิตไปพร้อมกับเรือ และอีก 7 คนได้รับการช่วยเหลือ ซึ่ง 3 คนเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงมีผู้เสียชีวิต 7 คนจากลูกเรือทั้งหมด 11 คน[109]
ลูกเรือที่รอดชีวิตของและกัปตันของเรือโอลิมปิกได้รับการสัมภาษณ์ไม่นานหลังจากถึงฝั่ง ลูกเรือคนหนึ่งกล่าวว่า "ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร" ส่วนกัปตันรู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เรือโอลิมปิกก็ได้ตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการหย่อนเรือชูชีพลงเพื่อช่วยชีวิตลูกเรือ ซึ่งได้รับการยืนยันจากลูกเรือที่ได้รับบาดเจ็บ[110]
ปลดระวาง[แก้]
ในปี 1934 ไวต์สตาร์ไลน์ได้ควบรวมกิจการกับคิวนาร์ดไลน์ตามการยุยงของรัฐบาลอังกฤษ เพื่อก่อตั้งสายการเดินเรือคิวนาร์ด–ไวต์สตาร์ (Cunard–White Star Line) การควบรวมกิจการนี้ทำให้ได้รับทุนสนับสนุนในการสร้างเรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี (RMS Queen Mary) และอาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (RMS Queen Elizabeth) ในอนาคตให้สำเร็จ เมื่อเสร็จสิ้น เรือใหม่ทั้งสองลำนี้จะรองรับบริการด่วนของคิวนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์ ดังนั้นเรือเดินสมุทรรุ่นเก่าที่เหลือของพวกเขาจึงค่อย ๆ ปลดระวาง
เรือโอลิมปิกถูกถอนออกจากบริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และเดินทางออกจากนิวยอร์กเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 5 เมษายน 1935 และกลับไปยังอังกฤษเพื่อจอดทิ้งไว้ในเซาแทมป์ตัน
คิวนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์พิจารณาจะใช้เธอในการล่องเรือช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงสั้น ๆ แต่ความคิดนี้ถูกล้มเลิกไปและต่อมาเธอก็ถูกขาย ในบรรดาผู้ซื้อมีการเสนอให้ดัดแปลงเธอเป็นโรงแรมลอยน้ำนอกชายฝั่งทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แต่สิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์[111]
หลังจากจอดทิ้งไว้เป็นเวลา 5 เดือนร่วมกับเรือมอริทาเนีย คู่แข่งเก่าของเธอ เธอก็ได้ถูกขายให้กับเซอร์จอห์น จาร์วิส (Sir John Jarvis) สมาชิกรัฐสภา ในราคา 97,500 ปอนด์ เพื่อแยกชิ้นส่วนบางส่วนที่แจร์โรว์เพื่อจัดหางานให้กับภูมิภาค[112]
ในวันที่ 11 ตุลาคม 1935 โอลิมปิกออกจากเซาแทมป์ตันเป็นครั้งสุดท้าย และมาถึงแจร์โรว์ในอีก 2 วันต่อมา การแยกชิ้นส่วนเริ่มขึ้นหลังจากของตกแต่งบนเรือถูกประมูลออกไป
ระหว่างปี 1935–1937 โครงสร้างส่วนบนของโอลิมปิกถูกทำลาย และจากนั้นในวันที่ 19 กันยายน 1937 ตัวเรือของเธอก็ถูกลากไปบริษัททำลายเรือโธส ดับบลิว. วาร์ด (Thos W. Ward) ในอินเวอร์คีธ (Inverkeithing) สำหรับการแยกชิ้นส่วนครั้งสุดท้าย และเสร็จสิ้นในปลายปี 1937[113]
ตลอดระยะเวลาประจำการ อาร์เอ็มเอส โอลิมปิกได้เดินทางไปกลับบนมหาสมุทรแอตแลนติก 257 ครั้ง คิดเป็นระยะทาง 1.8 ล้านไมล์ และขนส่งผู้โดยสารไป 430,000 คนในการเดินเรือเชิงพาณิชย์[111][114]
สิ่งของจากเรือโอลิมปิก[แก้]
อุปกรณ์ของตกแต่งบนอาร์เอ็มเอส โอลิมปิก ถูกประมูลไปก่อนที่จะมีการแยกชิ้นส่วนเรือ[115]
อุปกรณ์ของตกแต่งต่าง ๆ ของห้องรับรองผู้โดยสารชั้นหนึ่งและส่วนหนึ่งของบันไดแกรนด์ด้านท้ายเรือมีอยู่ในโรงแรมไวต์สวอน (White Swan Hotel) ในอาร์นวิค, นอร์ทัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ
แผงผนัง โคมไฟ พื้น ประตู และหน้าต่างจากเรือโอลิมปิก ได้รับการติดตั้งในโรงงานสีแห่งหนึ่งในเมืองฮอลต์วิสเซิล (Haltwhistle), นอร์ทัมเบอร์แลนด์ จนกระทั่งมีการประมูลในปี 2004[116]
ห้องสวีทหนึ่งห้องที่โรงแรมสปาร์ธเฮาส์ (Sparth House Hotel), เคลย์ตันเลอมัวร์, แลงคาเชียร์ มีเฟอร์นิเจอร์จากห้องรับรองแขก รวมทั้งโคมไฟ อ่างล้างจาน ตู้เสื้อผ้า และเตาผิงจากเรือโอลิมปิก
เครื่องไฟฟ้าคริสตัลและออร์โมลูจากเลานจ์ได้รับการติดตั้งใน Cutlers' Hall ในเมืองเชฟฟิลด์[117]
แผ่นไม้บางส่วนของเรือโอลิมปิก ถูกใช้ในโบสถ์คาทอลิกเซนต์จอห์นเดอะแบปทิสต์ (St John the Baptist's Catholic Church) ในแพดิแฮม, แลงคาเชียร์[118]
ในปี 2000 บริษัทเรือสำราญ เซเลบริตีครูซ (Celebrity Cruises) ได้ซื้อแผงไม้ดั้งเดิมของโอลิมปิกบางส่วนเพื่อสร้าง "ร้านอาหารอาร์เอ็มเอส โอลิมปิก" (RMS Olympic Restaurant) บนเรือสำราญลำใหม่ของพวกเขาที่ชื่อเซเลบริตีมิลเลนเนียม (Celebrity Millennium) ซึ่งบนเรือมีป้ายมีร้านอาหารตามสั่ง (À la Carte) ของเรือโอลิมปิกติดอยู่[115]
ระฆังบนสะพานเดินเรือของเรือโอลิมปิก ถูกจัดแสดงอยู่ที่สมาคมประวัติศาสตร์ไททานิก (Titanic Historical Society) ในรัฐแมสซาชูเซตส์[119][120]
นาฬิกาที่แสดงภาพ "เกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งเวลาอันรุ่งโรจน์" จากบันไดแกรนด์บนเรือโอลิมปิก ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ซีซิตี้ (SeaCity Museum) ในเมืองเซาแทมป์ตัน[121][122]
กัปตันเรือ[แก้]
- 1911–1912: เอ็ดเวิร์ด จอห์น สมิธ (Edward John Smith) บัญชาการเดินทางเที่ยวแรก และต่อมาได้ไปเป็นกัปตันของไททานิก
- 1912–1915: เฮอร์เบิร์ต เจมส์ แฮดด็อค (Herbert James Haddock) เป็นกัปตันในช่วงเวลาที่เรือไททานิก อับปาง ในตอนนั้นเขาสั่งให้นำเรือไปช่วยเหลือเรือไททานิก ที่กำลังจะจม แต่อยู่ไกลเกินไป ต่อมาเขาเสนอที่จะพาผู้โดยสารที่ได้รับการช่วยเหลือจากเรือคาร์เพเธีย ไปยังนครนิวยอร์ก แต่ไม่สำเร็จ เพราะกัปตันของคาร์เพเธีย เชื่อว่าการที่ผู้รอดชีวิตได้เห็นเรือโอลิมปิก จะทำให้ผู้รอดชีวิตรู้สึกสะเทือนใจ
- 1915: แฮร์รี่ วิลเลียม ไดค์ (Harry William Dyke)
- 1915: แฟรงก์ เออร์เนสต์ เบรดเนลล์ (Frank Ernest Breadnell)
- 1915–1917, 1917–1922: เบอร์แทรม ฟ็อกซ์ เฮย์ส (Bertram Fox Hayes) กัปตันที่มีชื่อเสียงที่สุดและดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดบนของโอลิมปิก, ได้สั่งให้เรือพุ่งเข้าชนเรือดำน้ำ U-103 ของเยอรมัน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1918 ซึ่งเป็นเรือพลเรือนเพียงลำเดียวที่จมเรือข้าศึกได้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขากล่าวในภายหลังว่า "เป็นเรือที่ดีที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา"
- ไม่ทราบ: เชอร์วิน แฮมเบลตัน (Sherwin Hambelton)
- 1917: เจมส์ ทอมป์สัน (James Thompson)
- 1922–1923: อเล็กซานเดอร์ เอลวิน (Alexander Elvin)
- 1923: ฮิวจ์ เฟรเดอริค เดวิด (Hugh Frederick David)
- 1923, 1927–1928: วิลเลียม มาร์แชล (William Marshall)
- 1923–1925: แฟรงค์ บริสโค โฮวาร์ธ (Frank Briscoe Howarth)
- 1925–1927: จอร์จ โรเบิร์ต เมตคาล์ฟ (George Robert Metcalfe)
- 1927, 1929: ยูซตาส อาร์. ไวท์ (Eustace R. White)
- 1928, 1929: วอลเตอร์ เฮนรี่ ปาร์คเกอร์ (Walter Henry Parker)
- 1930: จอร์จ เออร์เนสต์ วอร์เนอร์ (George Ernest Warner)
- 1930: เอ็ดการ์ ลุคแมน ทรานต์ (Edgar Lukeman Trant)
- 1931–1935: จอห์น วิลเลียม บิงส์ (John William Binks) เป็นกัปตันขณะเรือโอลิมปิกชนเรือให้สัญญาณไฟแนนทัคเก็ต แอลวี-117 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1934
- 1935: เรจินัลด์ วินเซนต์ พีล (Reginald Vincent Peel) บัญชาการเดินทางเที่ยวสุดท้าย
- 1935: พี.อาร์. วอห์น (P.R. Vaughan) นำเรือเดินทางไปยังสถานที่แยกชิ้นส่วน
ดูเพิ่ม[แก้]
- เอสเอส นอมาดิก (SS Nomadic) เรือพี่เลี้ยง (tender) ของเรือโอลิมปิก และไททานิก
- เอสเอส โครนปรินซ์วิลเฮล์ม (SS Kronprinz Wilhelm) เรือเดินสมุทรสัญชาติเยอรมันที่ชนกับเรือของกองทัพเรือเช่นเดียวกับเรือโอลิมปิก (และชนภูเขาน้ำแข็งเช่นเดียวกับเรือไททานิก)
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Chirnside 2015, p. 34.
- ↑ Chirnside 2015, p. 246.
- ↑ Chirnside, Mark, RMS Olympic Specification File (November 2007)
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 "TGOL – Olympic". thegreatoceanliners.com. Archived from the original on 13 April 2016. Retrieved 26 April 2012.
- ↑ Le Goff 1998, pp. 32–33 .
- ↑ Chirnside 2004, p. 18 .
- ↑ Bartlett 2011, p. 25.
- ↑ Hutchings & de Kerbrech 2011, p. 14.
- ↑ McCluskie 1998, p. 20.
- ↑ 10.0 10.1 Chirnside 2004, p. 19 .
- ↑ Eaton & Haas 1995, p. 55.
- ↑ Eaton & Haas 1995, p. 56.
- ↑ Oceanic II เก็บถาวร 21 พฤษภาคม 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน – thegreatoceanliners.com
- ↑ Chirnside 2004, p. 319.
- ↑ Piouffre 2009, p. 52 .
- ↑ McKernan, Luke. "Twenty famous films". Charles Urban.
- ↑ Catalogue of Kinemacolor Film Subjects. McGill University Library. 1913. pp. 78–79.
{{cite book}}
: CS1 maint: date and year (ลิงก์) CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ ""Olympic Class" Film Archive (1908–1937) | William Murdoch".
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อthegreatoceanliners
- ↑ Chirnside 2004, pp. 29–30 .
- ↑ Jamestown Weekly Alert TITANIC LACKING IN LIFESAVING DEVICES; Jamestown North Dakota, Thursday 18 April 1912
- ↑ "RMS Olympic – The Old Reliable". titanicandco.com. Archived from the original on 14 May 2013. Retrieved 19 April 2012.
- ↑ (in French) Les escaliers de 1 Classe, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ (in French) La Vie à bord du Titanic Archived 6 January 2021 at the Wayback Machine, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ (in French) Les Bains Turcs et la Piscine Archived 6 January 2021 at the Wayback Machine, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ (in French) Le Gymnase Archived 6 January 2021 at the Wayback Machine, le Site du Titanic. Retrieved 30 July 2009
- ↑ 27.0 27.1 New York Times – Olympic Like A City – 18 June 1911 encyclopedia-titanica.org
- ↑ Chirnside 2004, p. 28.
- ↑ "RMS Mauretania".
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 142. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ "The Titanic's Forgotten Sister". Forbes. 1 January 2018. Retrieved 2 January 2019.
- ↑ Chirnside 2004, p. 41.
- ↑ "RMS Olympic". whitestarhistory.com.
- ↑ Chirnside 2004, pp. 43–44.
- ↑ "The Huge New Dock at Southampton". 72 (1859). New York: Scientific American Supplement. 19 August 1911: 114. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 28 December 2017.
- ↑ Olympic and Titanic: Maiden Voyage Mysteries, by Mark Chirnside and Sam Halpern Archived 6 January 2021 at the Wayback Machine – encyclopaedia-titanica. org
- ↑ Chirnside 2004, p. 60.
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' class ships: Olympic, Titanic, Britannic (2011 ed ed.). Stroud, Gloucestershire: History Press. ISBN 978-0-7524-5895-3.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Chirnside 2004, pp. 62–63.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ "Book sources - Wikipedia". en.m.wikipedia.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ RMS Olympic: Titanic's Sister. The History Press. 7 September 2015. ISBN 9780750963480.
- ↑ "RMS Olympic – The Old Reliable". titanicandco.com. Archived from the original on 14 May 2013. Retrieved 19 April 2012.
- ↑ "Titanic's unsinkable stoker" Archived 8 October 2018 at the Wayback Machine BBC News 30 March 2012
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ Bonner, Kit; Bonner, Carolyn (2003). Great Ship Disasters. MBI Publishing Company. pp. 33–34. ISBN 978-0-7603-1336-7.
- ↑ "Why A Huge Liner Runs Amuck". Popular Mechanics. Hearst Magazines. February 1932. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 29 February 2012
- ↑ 48.0 48.1 "Book sources - Wikipedia". en.m.wikipedia.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ « Maiden Voyage – Collision With HMS Hawke » Archived 22 June 2009 at the Wayback Machine, RMS Olympic archive. Accessed 21 May 2009.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-13
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ 56.0 56.1 56.2 "TIP | United States Senate Inquiry | Day 18 | Proces Verbal (SS Olympic)". www.titanicinquiry.org.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "TIP – United States Senate Inquiry – Day 18". titanicinquiry.org. Archived from the original on 7 April 2012. Retrieved 19 May 2012.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ Masson 1998, p. 111.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ 65.0 65.1 "Firemen strike; Olympic held" (PDF). The New York Times. 25 April 1912. Archived from the original (PDF) on 6 January 2021. Retrieved 6 January 2021.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "OLYMPIC STRIKERS MAKE NEW DEMAND; Now Satisfied with the Collapsible Boats, but Want Non-Strikers Dismissed" (PDF). The New York Times. 26 April 1912. Archived (PDF) from the original on 6 January 2021. Retrieved 13 June 2018.
- ↑ "FREE OLYMPIC MUTINEERS.; Magistrates Find Charges Proved, but Forego Jailing or Fining Seamen" (PDF). The New York Times. 5 May 1912. Archived (PDF) from the original on 6 January 2021. Retrieved 13 June 2018.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-15
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-16
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-16
- ↑ "The Rebuilt Olympic". The Nautical Gazette. Vol. 83, no. 5. 12 March 1913. pp. 7–8. Retrieved 19 September 2018.
- ↑ MODIFICATIONS TO OLYMPIC FOLLOWING THE TITANIC DISASTER – www.titanicology.com
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-16
- ↑ Miller, William H (2001). Picture History of British Ocean Liners, 1900 to the Present. Dover Publications. ISBN 978-0-486-41532-1.
- ↑ List of on board facilities from the Passenger List (First Class) for the White Star Lines steamer RMS "Olympic" for April 28, 1923 voyage from New York to Southampton. pp. 9-10
- ↑ 78.0 78.1 Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' class ships: Olympic, Titanic, Britannic (2011 ed ed.). Stroud, Gloucestershire: History Press. ISBN 978-0-7524-5895-3.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-13, สืบค้นเมื่อ 2023-07-16
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 94. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ Ponsonby, Charles Edward (1920). West Ken (Q. O.) Yeomanry and 10th (yeomanry) Batt. The Buffs, 1914-1919. A. Melrose. p. 8.
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 96. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 98. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ Gibson, Richard Henry; Prendergast, Maurice (1931). The German submarine war, 1914–1918. Constable. p. 304. ISBN 978-1-59114-314-7. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 3 May 2011.
- ↑ "Book sources - Wikipedia". en.m.wikipedia.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Page 7302 – Supplement 30756, 18 June 1918 – London Gazette – The Gazette". thegazette.co.uk. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 16 May 2014.
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 101. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ Kelly Wilson (6 November 2008). "RMS Olympic". Members.aol.com. Archived from the original on 2 December 1998. Retrieved 16 July 2009.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ "Page 11575 – Supplement 31553, 12 September 1919 – London Gazette – The Gazette". thegazette.co.uk. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 21 May 2014.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ Chirnside 2004, p. 106.
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 115. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ Wade, Wyn Craig, "The Titanic: End of a Dream," Penguin Books, 1986 ISBN 978-0-14-016691-0
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. p. 117. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-28
- ↑ 104.0 104.1 "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-29
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-29
- ↑ Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' class ships: Olympic, Titanic, Britannic (2011 ed ed.). Stroud, Gloucestershire: History Press. ISBN 978-0-7524-5895-3.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ "History of U.S. Lightships". Palletmastersworkshop.com. Archived from the original on 4 February 2012. Retrieved 16 July 2009.
- ↑ Doherty, John (3 September 2004). "Lightship bell raised from ocean's depths". SouthCoastToday.com. Fairhaven. Archived from the original on 10 October 2004. Retrieved 10 September 2015.
- ↑ "de beste bron van informatie over night beacon. Deze website is te koop!". nightbeacon.com. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 29 February 2012.
- ↑ ""Olympic" Rams Lightship". British Pathé. 28 May 1934. Retrieved 10 September 2015.
- ↑ 111.0 111.1 Chirnside, Mark (2011). The 'Olympic' Class Ships. The History Press. pp. 136–140. ISBN 978-0-7524-5895-3.
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-30
- ↑ "RMS Olympic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-27, สืบค้นเมื่อ 2023-07-30
- ↑ RMS Olympic: Another Premature Death? – Mark Chirnside Archived 6 January 2021 at the Wayback Machine – encyclopaedia-titanica.org
- ↑ 115.0 115.1 "Olympic Today". atlanticliners.com. Archived from the original on 23 September 2015. Retrieved 19 May 2012.
- ↑ "North Atlantic Run – RMS Olympic Haltwhistle Auction"
- ↑ "The Hall and its Collections". Archived from the original on 9 August 2017. Retrieved 3 March 2017.
- ↑ "Padiham – St John the Baptist". Catholic Trust for England and Wales and English Heritage. 2011. Archived from the original on 6 January 2021. Retrieved 19 August 2019.
- ↑ "Titanic Museums of the World". www.titanicuniverse.com. Retrieved 4 November 2021.
- ↑ "Titanic Museum". Titanichistoricalsociety.org. Retrieved 20 July 2021.
- ↑ "RMS Olympic BL24990_002". Englishheritageimages.com. Archived from the original on 5 September 2009. Retrieved 29 February 2012.
- ↑ "Collections and Exhibitions". Southampton City Council. Archived from the original on 26 September 2014. Retrieved 10 September 2015.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- ศูนย์รวมรูปภาพของเรือโอลิมปิก (ภาษาอังกฤษ)
- Titanic Research & Modelling Association, for Olympic-Class Research
- Encyclopedia Titanica: RMS Olympic
- Olympic on Titanic-Titanic.com
- The RMS Olympic Restaurant on the Celebrity Millennium (Virtual Tour of ship's Plaza Deck shows panoramic view).
- Olympic's Fittings at White Swan Hotel, Alnwick, England เก็บถาวร 2007-10-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- White Star Line RMS Olympic the Ship Magnificent เก็บถาวร 2007-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Lego RMS Olympic เก็บถาวร 2011-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน