ผู้ใช้:เมวิยา/กระบะทราย
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ เมวิยา หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
เรื่องรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์
ที่มาของรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์[แก้]
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหาวิธีให้พ้นจากทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นการออกจากพระราชวัง ออกจากความวุ่นวาย การอดอาหาร การนั่งสมาธิกลั้นลมหายใจ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนค้นพบธรรมที่แท้จริง คือทางสายกลาง จนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ทรงนำมาเผยแพร่ให้ปัจวัคคีย์ และประชาชน จนเกิดเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาที่เน้นการปฏิบัติ มีเหตุมีผล พิสูจน์ได้ และนำมาซึ่งการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดความสุขทางจิตใจ[1]
มูลเหตุของการเกิดศาสนา[แก้]
- ความไม่รู้ หมายถึง ความไม่รู้ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์นั้นมาจาก ฝนฟ้าอากาศ ภัยพิบัติต่างๆ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมนุษย์จึงรู้สึกกลัว เพราะคิดว่าเป็นฝีมือของสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น เช่น ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะ ยังทรงไม่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงทอดพระเนตร คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงพระราชดำริว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
- ความกลัว หมายถึง เมื่อไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นจากอะไร จึงเกิดความกลัว เช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง4 จึงเกิดความกลัว และไม่อยากจะเป็นเช่นนั้น จึงทรงหาวิธีทำให้พ้นทุกข์โดยการออกบวช
- ความต้องการที่พึ่งทางใจ หมายถึง เมื่อมนุษย์เกิดความกลัว จึงอยากจะหาที่พึ่งทางจิตใจ เช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงทอดพระเนตร เทวทูตทั้ง 4 ก็เกิดความกลัว จึงหาวิธีทำให้พ้นทุกข์ เมื่อทรงตรัสรู้ จึงไปเผยแพร่ให้แก่ประชาชนได้เป็นที่พึ่งทางจิตใจ
- ความต้องการความสงบสุขของสังคม หมายถึง มนุษย์ต้องการหาที่พึ่งทางจิตใจเพื่อให้เกิดความสงบสุขทางสังคม เกิดความเป็นระเบียบแบบแผน เช่น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และเผยแพร่ให้ประชาชน ทำให้รู้ว่า ศาสนาไม่ทรงสอนแค่หลักธรรม แต่ยังสอนให้สังคมมีระเบียบเพื่อความสงบสุขของสังคมอีกด้วย
- ความต้องการรู้แจ้งในสัจธรรม หมายถึง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตร เทวทูตทั้ง 4 จึงออกบวชเพื่อให้ทรงเห็นความจริงของชีวิตด้วยพระองค์เอง
- ความเลื่อมใสศรัทธาและความจงรักภักดี หมายถึง มนุษย์เห็นแล้วว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนเรื่อง เหตุ-ผล พิสูจน์ได้ ปฏิบัติตามแล้วเกิดแต่ความสุขทางจิตใจ จึงเกิดความเลื่อมใสในศาสนาและอยากที่จะรักษาไว้ให้ลูกหลานสืบต่อไป
- ความยกย่องบรรพบุรุษและบุคคลสำคัญ หมายถึง นอกจากความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้ว มนุษย์ยังยกย่องบรรพบุรุษโดยการทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้ชีวิตเกิดความร่มเย็น[2]
ความหมายของศาสนา และคำว่ารัฐศาสตร์ การเมืองการปกครองในพระพุทธศาสนา[แก้]
ศาสนา คือ คำสอนของศาสดาเอกของโลก ทรงบำเพ็ญเพียรกริยาต่างๆเพื่อให้ทรงเห็นแจ้งด้วยพระองค์เอง รัฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยองค์การปกครองบ้านเมืองมีขอบเขตการศึกษาที่กว้างขวางเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของมนุษย์ การเป็นอยู่ของมนุษย์ หรือเป็นการศึกษามนุษย์ในรัฐ ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์และสังคมมนุษย์ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเมืองการปกครอง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจอันชอบธรรมเพื่อแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าหรือทรัพยากรของสังคมในส่วนรวม เพราะในสังคมการเมืองของมนุษย์จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหรือถูกใช้อำนาจปกครอง[3]
ประเภทของคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์[แก้]
แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
ระดับโลก[แก้]
หิริ แปลว่าความละอายใจ เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อนักการเมืองการปกครองทุกคน ต้องมีความละอายใจในการกระทำสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ โอตัปปะ แปลว่าความเกรงกลัวต่อความชั่ว เมื่อบุคคลได้รับเลือกให้เข้าไปปกครองบ้านเมือง ต้องมีพฤติกรรมที่ดี ยุติธรรม เกรงกลัวต่อความชั่ว
ระดับการปกครองประเทศ[แก้]
มีทั้งหมด 12 ระดับ
- การอบรมผู้ปกครองให้ทำความดี
- การผูกมิตรกับต่างประเทศ
- การให้รางวัลแก่พลเมืองดี
- การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ทรงศีล
- การให้ความช่วยเหลือครัวเรือน
- การให้ความอุปการะชาวชนบท
- การห้ามเบียดเบียนสัตว์
- การชักนำให้บุคคลทำความดี
- การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนไม่พอเลี้ยงชีพ
- การเข้าหาผู้ทรงศีลใน เพื่อศึกษาธรรม
- การห้ามจิตใจไม่ให้เกิดความอยาก
- การระงับโลภะ
ระดับการปกครองประเทศ[แก้]
คุณธรรมของผู้ปกครองประเทศ 10 ประการคือ
- ทาน คือการให้ ผู้นำให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน
- ศีล ข้อห้าม ห้ามทำความผิดที่มิชอบต่อกฎหมาย
- บริจาค การมีน้ำใจต่อกันระหว่างผู้นำและประชาชน
- อาชีวะ ความไม่โกง ผู้นำเมื่อเข้ามามีบทบาทในการเมืองการปกครองแล้วต้องตระหนักถึงอาชีวะอยู่เสมอ
- มัททวะ ความอ่อนโยน อ่อนน้อม ถ่อมตน
- ตบะ ความหมั่นเพียรในการทำงานเพื่อประชาชน
- อักโกธะ การระงับความโกรธ การเป็นผู้นำที่ดีไม่ควรกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
- อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน
- ขันติ ความอดทนต่อปัญหาในการบริหารบ้านเมือง และเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ
- อวิโรธนะ ไม่ประพฤติผิดต่อศีลธรรม
ระดับความเป็นผู้ใหญ่ปกครองผู้อื่น[แก้]
มนุษย์เราจะเกิดมาได้ย่อมมีบิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิด ดูแลเราตั้งแต่อยู่ในท้องจนใหญ่โตขึ้นมาโดยไม่ปริปากบ่น เราจึงควรดูแลเลี้ยงดูท่านเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ไม่มีวันใช้หมด ทั้งควรเคารพบิดามารดาของตัวเองและผู้ใหญ่ในสกุล พูดจาอ่อนหวานอ่อนน้อม ไม่พูดยุยงให้แตกร้าวในครอบครัว[4]
ลักษณะทั่วไปของรัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์[แก้]
เรื่องที่ใกล้ตัวเราที่สุด ก็คือ องค์กรทางการเมือง ระบอบการปกครอง และรูปแบบรัฐบาลทุกภาคส่วนมีหน้าที่คล้ายกัน คือให้ บริการประชาชน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนต้องศึกษาเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์เพื่อให้มีความรู้เบื่องต้นไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตน ซึ่งตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วเราทุกคนต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง โดยให้มีตัวเองเป็นที่พึ่ง ดังคำสอนที่ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน[6]
แนวโน้มการศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์[แก้]
รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสนาในสภาพปัจจุบัน[แก้]
ปัญหาของสังคมไทยคือ ไม่ตื่นตัวทางการเมืองทำให้ยากต่อการบริหารประเทศ อดีตเกิดรัฐประหาร 2549เป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของคนในชาติต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวางหน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองต่อเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ
รัฐศาสตร์ตามแนวพุทธศาสนาในสภาพอนาคต[แก้]
ความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนครั้งสำคัญ ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 2549คนไทยตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้นทุกระดับ ทุกชนชั้น ไม่เอาเผด็จการ สนใจประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร และภายในอนาคตผู้นำม็อบ นักการเมือง ก็ไม่สามารถชักจูงพวกเขาไปในทางที่ผิดหลักการได้อีกต่อไป และหากนำคำสอนตามแนวพระพุทธศาสนาที่ว่าสามัคคีเห็นอกเห็นใจกันจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญมั่นคงของชาติ คนเราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ จะต้องอยู่เป็นหมู่คณะ สิ่งใดที่จะนำมาซึ่งความเจริญ ความมั่นคงก็ทำ [7]
การนำคำสอนในพุทธศาสตร์ไปใช้ในรัฐศาสตร์[แก้]
การเป็นผู้บริหารที่สมบูรณ์แบบในทางพระพุทธศาสนา ต้องตระหนักมีหน้าที่การบริหาร 3 ด้าน ===บริหารตน=== ก่อนจะเป็นผู้บริหาร เราต้องบริหารตนให้มีความพร้อมในด้านปัญญาพละ ผู้ที่เป็นผู้นำต้องมีความรู้ ทางพระพุทธศาสนาท่านอุปมาความรู้ให้เหมือนดั่งแสงสว่างเมื่อส่องไปที่ใดความมืดก็ย่อมหมดไปและมีใจคุณธรรม ซึ่งจะทำให้สามารถครองใจคนได้อันจะนำไปสู่การพัฒนางานได้ดีขึ้น ===บริหารคน=== พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ บริหารโดยการดูจริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน คือ
ราคะจริต คือบุคคลที่หลงในรูป รส กลิ่น เสียง ทำให้เกิดความอยากได้อยากมีไม่จบไม่สิ้น โทสะจริต คือคนที่ชอบความรวดเร็ว ไม่ชอบรอใคร ทำงานโดยให้ตัวเองเป็นใหญ่ วิตกจริต คือบุคคลที่มีความลังเล ตัดสินใจยาก สองจิตสองใจ พุทธิจริต คือบุคคลที่มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ตั้งใจทำงาน โมหะจริต คือบุคคลที่มีในโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบงานที่มีคนเยอะ ศรัทธาจริต คือบุคคลที่เชื่อมั่นในตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นคนดีแล้วต้องมีคนมาศรัทธา
[9] ===บริหารงาน=== นักบริหารต้องบริหาร
วิริยะพละ คือความต่อเนื่องในการทำหน้าที่ มีความเพียรไม่กลัวความยากลำบากที่รออยู่ข้างหน้า พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ
อสังขริกะริยะ คือการปลุกจิตสำนึกให้ผู้ปฏิบัติงานมีใจรักในการทำงาน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ จะทำให้ผู้บริหารมีความสุขในงานที่ทำ[10]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ http://www.scribd.com/doc/112263307/
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=lAAKmGRKESc&list=PLdVIBNdVm3_RExxTs65CAZr_V2kzw7Kbe&index=2
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=DYH-TGcUNAU&list=PLa1qShLuYLWULAbdSzMN2bL4hdeWBnWfN/
- ↑ http://oknation.nationtv.tv/blog/mambu52/2009/06/23/entry-3
- ↑ http://beworkclub.blogspot.com/2009/11/12.html?m=1
- ↑ https://www.gotoknow.org/posts/439624
- ↑ https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2549
- ↑ http://www.gotoknow.org/posts/504158
- ↑ https://www.gotoknow.org/posts/271314
- ↑ http://www.siace.ac.th/web_old/index.php?option=com_content&view=article&id=262%3A2012-11-08-01-08-14&catid=40%3A2011-11-25-06-03-52